MGR Online - ผบ.ตร.กำชับตำรวจเชียงใหม่ดำเนินคดีต่อกลุ่มชายฉกรรจ์ รุมทำร้ายลูกชายนายพลภายในผับ เบื้องต้นไม่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล
วันนี้ (28 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีนายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ บุตรชาย พล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 ถูกทำร้ายในร้านมาลินสกาย จ.เชียงใหม่ ว่าเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กำชับว่าให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งในชั้นนี้หากมีความผิดตามที่เป็นข่าวจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบพยานไปแล้วหลายปาก เหลือเพียงผู้เสียหายที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลยังไม่สามารถให้ปากคำได้ ยืนยันว่าเรื่องนี้ตำรวจจะดำเนินการเต็มที่ตามกรอบของกฎหมาย
ส่วนจะมีการตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าวว่าเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่นั้น พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า ในชั้นนี้การตรวจสอบยังไม่ถึง ยังเป็นเรื่องของการทำร้ายร่างกายสาหัสอยู่ เรื่องดังกล่าวอาจเป็นประเด็นเนื่องจากผู้ที่มีชื่อเสียงหรือดาราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยขณะนี้การดำเนินการต่างๆ ของตำรวจทั้งการเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ การสอบพยานและรวบรวมหลักฐาน อยู่ในกระบวนการตามขั้นตอนอยู่แล้ว ทั้งนี้ อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนให้ติดตามข่าวอย่างมีสติและรอข้อเท็จจริงจากตำรวจ อย่าเพิ่งเชื่อข้อมูลที่ยังไม่ได้ปรากฏในลักษณะคำให้การอาจทำให้เกิดความสับสนขึ้นได้
“สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในร้านนั้น เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่าในร้านมีกล้องวงจรปิดหรือไม่อย่างไร หากมีกล้องมีภาพขณะเกิดเหตุหรือไม่ หากกล้องขัดข้อง มีการขัดข้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบอยู่แล้ว อย่าเพิ่งไปไขว้เขวในประเด็นที่ว่าทางร้านได้ถอดกล้องออกหรือไม่อย่างไร หากได้ภาพจากกล้องก็จะมีส่วนช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ถึงร้านจะไม่มีกล้องก็มีแนวทางการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดอยู่” พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าก่อนหน้านี้เคยมีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวในลักษณะเช่นนี้มีแล้วหลายครั้งนั้น ต้องรอเจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผล และที่สำคัญจะต้องมีการตรวจสอบเกี่ยวกับการแจ้งความร้องทุกข์ว่ามีหรือไม่ หากพบว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างแน่นอน