xs
xsm
sm
md
lg

ศาลยกฟ้อง “พระมหาโชว์-อ.เสถียร” ไม่หมิ่นพระพุทธะอิสระ ชี้หลักฐานไม่พอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ศาลยกฟ้อง “พระมหาโชว์-อ.เสถียร” ไม่หมิ่นประมาท “หลวงปู่พุทธะอิสระ” กรณีแจ้งความเท็จกล่าวหาหมิ่นฯ สมเด็จพระสังฆราช - กรรโชกทรัพย์ ชี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ



วันนี้ (5 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.985/ 2558 พระพุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระมหาโชว์ ทสฺสนีโย ผอ.สำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และนายเสถียร วิพรมหา อาจารย์ประจำภาควิชาสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาของมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174 และ 326

โดยคำฟ้องโจทก์ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 6, 8 และ 14 มี.ค. 2558 จำเลยเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.วีระยุทธ ไทยสุระ พนักงานสอบสวน กก.1 ป. กล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2558 โจทก์ได้บุกรุก และกระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช และกล่าวหาว่าโจทก์ใส่ความคณะสงฆ์ เพื่อให้เกิดความแตกแยก โดยจำเลยทั้งสองประสงค์ให้โจทก์รับโทษทางอาญา จะได้ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์

นอกจากนี้ จำเลยยังได้แจ้งความกล่าวหาว่าโจทก์นำมวลชนบุกรุกวัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมด้วยทหาร และอาวุธครบมือ และได้นำสิ่งสกปรกโสโครกอ้างว่าเป็นสังฆทานไปถวายแด่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อันเป็นการลบหลู่ พูดจาคุกคาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้บุกรุก และจำเลยทั้งสองทราบดีว่าวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่พลเมืองมีสิทธิตามกฎหมายที่จะใช้สอยได้ร่วมกัน ดังนั้น เมื่อโจทก์หรือพุทธศาสนิกชนผู้ใดจะเข้าไปภายในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นการชั่วคราวในเวลากลางวันก็สามารถทำได้ ประกอบกับในเวลาที่โจทก์เข้าไปภายในบริเวณวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ยังได้มีพระพรหมโมลีมาพบโจทก์เพื่อทักทายปราศรัยสนทนากัน ไม่ได้มีการขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากวัด และโจทก์ก็ไม่ได้เป็นผู้นำทหารพร้อมอาวุธติดไปด้วย

โดยวันที่ 8 มี.ค. 2558 จำเลยที่ 2 ได้จัดแถลงข่าวที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ทำนองว่า ช่วงที่มีความวุ่นวายทางการเมือง มีหลักฐานชัดเจนว่าพระพุทธะอิสระเดินทางเรียกรับผลประโยชน์กับโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วต่อมาวันที่ 14 มี.ค. 2558 จำเลยได้แจ้งความต่อพระครูอุดมพัฒนคุณ เจ้าอาวาดวัดพระไกรสีห์ บางกะปิ ในฐานะเจ้าคณะแขวงบางกะปิ วังทองหลาง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิด ขอให้ลงโทษตามกฎมหาเถรสมาคม โดยหาว่าโจทก์ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย โดยกรรโชกทรัพย์จากโรงแรม เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2551 ต้องปาราชิก ซึ่งการกระทำของจำเลยมีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามกฎหมาย

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้วเห็นว่า จากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเหตุการณ์ที่โจทก์นำมวลชนไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมด้วยทหาร โดยนำสิ่งสกปรกโสโครกอ้างว่าเป็นสังฆทานไปถวายแด่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และนำเหตุการณ์ที่พามวลชนไปยังโรงแรมเอสซีปาร์ค อ้างว่าจะเข้าพักและจัดประชุม โดยได้จ่ายเงินมัดจำค่าจองห้องพักล่วงหน้าไปแล้ว จำนวน 4,200 บาท แต่ต่อมาผู้บริหารโรงแรมปฏิเสธไม่ให้เข้าพักและยินยอมที่จะจ่ายค่าเสียหาย จำนวน 120,000 บาทแทนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระ โจทก์นั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำ กปปส.ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมได้เช่นเดียวกับประชาชนหรือบุคคลทั่วไป อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตัวเองไม่มีพฤติกรรมตามที่จำเลยกล่าวอ้าง หรือไม่ได้เดินทางไปที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และโรงแรมเอสซีปาร์คแต่อย่างใด เมื่อจำเลยทั้งสองไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของโจทก์ก็ถือเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาที่ประชาชนย่อมกระทำได้ ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองเบิกความไปตามความจริง ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ประกอบกับฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำบุคคลที่สามมาเบิกความให้เห็นว่า มีความเสียหายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อบุคคลที่สามอย่างไร จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังพระพุทธะอิสระกล่าวว่า ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานยังมีข้อบกพร่อง ไม่ได้มีการนำบุคคลที่สามมาเบิกความยืนยันว่าเกิดความเสียหายอย่างไร และโจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านหลักฐานของฝ่ายจำเลย แต่อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่มายื่นฟ้องคดีเพียงเพราะอยากเตือนให้บุคคลที่คิดจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นนั้นอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใส่ร้าย ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดีที่จะใช้ในการต่อสู้ในเรื่องต่างๆ ต่อไป ซึ่งคงจะไม่ยื่นอุทธรณ์คดีและไม่ติดใจอะไร เพราะถือว่าศาลได้วินิจฉัยคดีแล้ว ขอชี้แจงว่าไม่ได้นำทหารไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพราะตนเองไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้มีอำนาจที่จะสั่งการเจ้าหน้าที่ทหารแต่อย่างใด

นอกจากนี้ วันเดียวกัน พระพุทธะอิสระยังได้มอบหมายให้นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโลมิรันดย์ บุตรจันทร์ อาชีพทนายความ และประธานชมรมคนยอมตายเพื่อพุทธศาสนา ในความผิดฐานฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง กรณีแจ้งความตำรวจกองปราบปรามให้ตรวจสอบพระพุทธะอิสระกล่าวหาว่าบุกรุกป่าในพื้นที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนกว่า 300 ไร่

โดยคำฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า คดีนี้จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาต่อโจทก์ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2559 เวลากลางวัน จำเลยได้กล่าวหรือให้ข่าวต่อสื่อมวลชน และมีหนังสือถึง พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี ผู้บังคับการกองกำกับการปราบปราม ด้วยการใส่ร้ายว่า โจทก์กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ซึ่งบัญญัติว่า “ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้ผู้ใดบุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อจะให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามตรวจสอบข้อเท็จจริงและกล่าวโทษพระพุทธะอิสระ โจทก์ ซึ่งนายโลมิรันดร์ได้กล่าวตามที่ปรากฏในสื่อ ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตรวจสอบว่ามีการบุกรุกป่าจริงหรือไม่ เนื่องจากมีภาพว่า พระสุวิทย์ หรือ พระพุทธะอิสระ พร้อมด้วยตัวแทนมูลนิธรรมอิสระ และบริษัทแห่งหนึ่ง เข้ามอบตัวกับทางอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมนำเอกสารภาพถ่ายเข้าไปปลูกป่าในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบ้านใหม่วังผาปูน ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ จำนวนกว่า 300 ไร่ ราคาประมาณ 3 ล้านกว่าบาท มอบให้อธิบดีกรมป่าไม้เพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ให้กรมป่าไม้ชี้มูลความผิดดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น

ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2533/2559 พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 6 ก.พ. 2560

ด้านพระมหาโชว์กล่าวสั้นๆ ว่า ไม่ติดใจคดีและไม่คิดฟ้องกลับ ที่ทำไปเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาเท่านั้น









 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น