MGR Online - ปอศ.ลุยค้นบ้านเช่าย่านนนทบุรีดัดแปลงเป็นโรงงานผลิตจับยีนส์ปลอมเครื่องหมายการค้า สารภาพมีนายทุนมาเลเซียว่าจ้าง เบื้องต้นมูลค่าความเสียหายกว่า 7 ล้านบาท
วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) พ.ต.อ.สิทธิชัย ลีลาสวัสดิ์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติศัพท์ ทิงศรีวงศ์ ผกก.4 บก.ปอศ. พ.ต.ท.สุรสิทธิ์ มากเจริญ รอง ผกก.4 บก.ปอศ. พ.ต.ท.ดิเรก รุ่งเรือง รอง ผกก.4 บก.ปอศ. และพ.ต.ท.ธนิต กรปรีชา สว.กก.4 บก.ปอศ.
ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายนริศ สำราญรื่น อายุ 23 ปี และนายบุลากร อ้นบัณฑิต อายุ 42 ปี พร้อมของกลางกางเกงยีนส์ปลอมเครื่องหมายทางการค้าหลายยี่ห้อ เช่น ลีวายส์ เกรส อีวิสุ ดีเซล และอาดิดาส จำนวน 3,262 ตัว และชิ้นส่วนประเภทแผ่นป้ายผ้า แผ่นป้ายกระดาษ แผ่นป้ายหนัง และกระดุมที่มีการปลอมเครื่องหมายการค้า จำนวน 123,640 ชิ้น รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 7,148,600 บาท
พ.ต.อ.สิทธิชัยกล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีการผลิตสินค้าที่มีการปลอมแปลงเครื่องหมายทางการค้า จึงได้ขออำนาจศาลจังหวัดนนทบุรีอนุมัติหมายค้นบ้านพักไม่ติดเลขที่ ม.6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยภายบ้านหลังดังกล่าวพบนายนริศแสดงตัวเป็นผู้ดูแลบ้าน เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายค้นก่อนเข้าตรวจสอบภายในบ้านพบของกลางเป็นกางเกงยีนส์ปลอมแปลงเครื่องหมายทางการค้ายี่ห้องดังกล่าวจำนวน 3,262 ตัว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าตรวจค้นบ้านพักอีกหนึ่งหลังไม่ติดบ้านเลขที่ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันกับบ้านของนายนริศ พบนายบุลากรแสดงตัวเป็นผู้ดูแลบ้าน จากการตรวจค้นภายในบ้านพบชิ้นส่วนประเภทแผ่นป้ายผ้า แผ่นป้ายกระดาษ แผ่นป้ายหนัง และกระดุมที่มีการปลอมเครื่องหมายทางการค้าจำนวน 123,640 ชิ้น เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายบุลากร และนายนริศ พร้อมยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
โดยนายบุลากรให้การรับสารภาพว่าทำมานานกว่า 2 ปี โดยมีนายทุนจากประเทศมาเลเซียคอยสนับสนุน โดยจะผลิตสินค้าดังกล่าวและจัดส่งผ่านบริษัทรับขนส่งสายใต้ไปยังประเทศมาเลเซีย คิดราคาตัวละ 240 บาท จากต้นทุนราคาผลิตตัวละ 160 บาท ได้กำไร 60 บาทต่อตัว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหามีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้ในราชอาณาจักร มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป