MGR Online - ผบ.ตร.เผยหลังสอบปากคำ “ซู ซู” ผู้จัดหาซิมโทรศัพท์มือถือให้แก๊งคนร้ายก่อเหตุปล้นร้านขายปืนย่านวังบูรพา ขณะนี้ได้เพิกถอนวีซ่าแล้ว อยู่ระหว่างควบคุมตัวเพื่อรอผลักดันกลับประเทศ เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามที่เชื่อว่าอาจเป็นอันตรายต่อสังคม
วันนี้ (7 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบปากคำนายซู ซู อายุ 30 ปี สัญชาติจีน หลังพบว่าเป็นผู้จัดหาซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือให้แก่นายเจิ้ง หยาง หัวหน้าแก๊งคนร้ายชาวจีนก่อเหตุปล้นร้านขายปืน ห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์อาร์ม ย่านวังบูรพา ท้องที่ สน.สำราญราษฎร์ ว่าขณะนี้ยังไม่พบว่านายซู ซู มีความเชื่อมโยงกับแก๊งดังกล่าว สำหรับในส่วนเรื่องซิมโทรศัพท์ที่นายซูซูมีเป็นจำนวนมากเนื่องจากต้องใช้ในการทำธุรกิจ ซึ่งเราไปจำกัดสิทธิคนซื้อไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนตัวเขา
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า เชื่อว่าสามารถปิดคดีได้ เนื่องจากวิเคราะห์แล้วว่าไม่น่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ส่วนสาเหตุที่ลงมือก่อเหตุนั้น คาดเป็นเพราะอาวุธปืนเป็นสินค้าต้องห้ามในประเทศจีน จึงสามารถลักลอบจำหน่ายได้ในราคาสูง กระบอกละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท สำหรับเส้นทางลักลอบขนอาวุธคาดจะใช้เส้นทาง R3A ทางภาคเหนือที่เชื่อมต่อไปยังประเทศจีน แต่จะใช้วิธีการใดนั้นยังไม่สามารถระบุได้
“หลังเปิดประชาคมอาเซียน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยมากขึ้น จึงได้มีการปรับเปลี่ยนมาตรการด้านความปลอดภัยให้เข้มงวด โดยจะมีการนำเทคโนโลยีเพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ” ผบ.ตร.ระบุ
ด้าน พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบนายซู ซู ทำธุรกิจทัวร์ในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถควบคุมการจำหน่ายซิมโทรศัพท์ให้นักท่องเที่ยวได้ นายซู ซูมีการเดินทางเข้าออกประเทศไทย 17 ครั้ง ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งเข้ามาในไทยตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. 2558 ก่อนล่าสุดจะยื่นเรื่องขอวีซ่าทำงานซึ่งจะสามารถอยู่ในไทยได้ถึง 27 ส.ค. 2559 แต่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เพิกถอนวีซ่าแล้ว อยู่ระหว่างควบคุมตัวเพื่อรอผลักดันกลับประเทศ เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามที่เชื่อว่าอาจเป็นอันตรายต่อสังคม ส่วนจะสามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีกหรือไม่ จะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ ซึ่งต้องเว้นระยะห่างเป็นเวลา 5 ปี แต่จากการตรวจสอบประวัติกับสถานทูตจีนก็ไม่พบการก่ออาชญากรรมในประเทศจีน และมีอาชีพที่ไม่แน่นอน