MGR Online - พนักงานบริษัท ไทยมาร์ท คอร์ปอเรชั่น กว่า 380 คน รวมตัวเรียกร้องฝ่ายผู้บริหารชี้แจง หลังศาลล้มละลายกลางส่งเจ้าพนักงานติดประกาศยึดทรัพย์ทั้ง 7 สาขา 1 คลังสินค้า ทำให้พ้นสภาพการจ้าง
วันนี้ (29 ม.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท ไทยมาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ค้าส่งสินค้าสำเพ็ง นายลัทธิ แสนรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า พร้อมด้วยพนักงาน บริษัท ไทยมาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด อีกกว่า 100 คน เดินทางเข้ามาเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายผู้บริหารออกมาชี้แจง กรณีที่มีคำสั่งจากศาลล้มละลายกลาง และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง การยึดและรวบรวมทรัพย์สินตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ทำให้พนักงานทุกคนของบริษัท พ้นสภาพจากการจ้างงาน
นายลัทธิ กล่าวว่า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา มีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เข้ามาภายในบริษัท ไทยมาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทุกสาขา ซึ่งไทยมาร์ททั้งหมด มีทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 7 สาขา 1 คลังสินค้า พร้อมกับนำคำสั่งจากกรมบังคับคดี มาติดประกาศเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์สินชั่วคราว และให้พนักงานทั้งหมดออกจากบริษัทและศูนย์ค้าส่งทันที พร้อมกับแจ้งว่า พนักงานพ้นสภาพการจ้างงานจำนวน 380 คน โดยไม่มีเอกสารแจ้ง โดยศาลล้มละลายมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ในวันที่ 22 มกราคม 2559 และเจ้าพนักงานเข้ามาติดประกาศวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเร็ว พนักงานยังไม่ทันได้เตรียมตัว และหางานใหม่ไม่ทัน ทั้งที่วันที่ 29 ม.ค. จะเป็นวันจ่ายค่าจ้าง ซึ่งพนักงานทุกคนเดือดร้อนมาก เพราะทุกคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลและใช้จ่าย
จึงอยากให้ผู้บริหารออกมาชี้แจ้งใน 4 ประเด็น คือ 1. สถานะของพนักงาน บริษัท ไทยมาร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ปัจจุบันเป็นอย่างไร 2. เงินเดือน ค่าจ้างเดือน ม.ค. 2559 ที่มีกำหนดรับในวันที่ 29 ม.ค. จะได้รับหรือไม่ 3. ในกรณีหากมีการปิดกิจการจริง สถานะการเป็นพนักงานของบริษัทสิ้นสุดลง ทางผู้บริหารจะมีแนวทางอย่างไรในการช่วยเหลือพนักงาน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน อาทิ เงินชดเชย และสวัสดิการ 4. ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร และมีแนวโน้มที่จะดำเนินกิจการห้างไทยมาร์ท ต่อหรือไม่
นางหนูเย็น ศรีภิรมณ์ อายุ 62 ปี พนักงานรักษาความสะอาดให้บริษัท ไทยมาร์ท สาขารามอินทรา เปิดเผยว่า ตนเป็นคน จ.อุดรธานี เดินทางขึ้นมาทำงานที่กรุงเทพฯ พร้อมกับสามีวัย 68 ปี เนื่องจากบ้านที่อุดรนั้นมีอาชีพทำนา แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็เริ่มทำไม่ไหว จึงเข้ามาหางานใน กทม. ซึ่งที่บ้านนั้นอยู่ด้วยกัน 4 คน มีตน สามี ลูกชายที่พิการ 1 คน และหลานชาย 1 คน ตนทำงานกับบริษัทนี้มา 4 ปี แล้ว พร้อมกับหลานชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งในแต่ละเดือนเงินค่าแรงที่ได้มาก็จะนำไปใช้เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ใช้จ่ายเลี้ยงดูลูกที่พิการและคนในบ้าน ไม่เคยเหลือเงินพอเก็บออมเลย หากบริษัทต้องปิดตัวลงจริง ตนคงลำบาก เพราะรายได้ในส่วนของตนและหลานชายจะหายไป และตนก็อายุมากแล้วจะไปสมัครงานที่ไหนก็อาจจะไม่มีใครรับแล้ว