xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกาเพิ่มโทษ “ครูลอน” ชำเรา นร.หญิง เป็น 19 ปี 3 เดือน ส่วน “ครูพิมล” อดีตครูพละ คงโทษเดิม 12 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR online - ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำคุกเพิ่ม “ครูลอน” อดีตอาจารย์โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสายไหม ชำเรานักเรียนหญิง 7 ขวบ จาก 12 ปี เป็น 19 ปี 3 เดือน ส่วน “ครูพิมล” อดีตครูพละ คงโทษเดิม 12 ปี ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งคู่มีสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา



ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ (18 ม.ค) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกระทำชำเราเด็กหญิง หมายเลขดำ อ.4054/2549 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายลอน โสรกนิษฐ์ อายุ 68 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนายพิมล ซุ่นศรี หรือซุ้นศรี อายุ 58 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 สอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสายไหม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในฐานความผิดพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร, กระทำอนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร, กระทำชำเราฯ และหน่วงเหนี่ยว กักขัง เพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 283 ทวิ, 284, 309, 310 ทวิ, 312 ทวิ, 317 และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ. 2540 มาตรา 5, 7, 12

ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2549 บรรยาความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. - 10 ส.ค. 2549 ต่อเนื่องกัน นายลอน จำเลยที่ 1 ได้พา ด.ญ.ปุ๊ก (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ผู้เสียหาย โดยหลอกเข้าไปในห้องน้ำก่อนกระทำอนาจารผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 1 ยังได้พราก ด.ญ.ปุ๊กไปกักขังเพื่อกระทำชำเรา และจำเลยที่ 1 ยังมีพฤติการณ์พา ด.ญ.ปุ๊ก ไปชำเราและอนาจารอีกจำนวน 5 ครั้ง ขณะที่ นายพิมล จำเลยที่ 2 ได้ใช้กำลังประทุษร้าย ด.ญ.ปุ๊ก เพื่อกระทำอนาจารและกระทำชำเรา โดยที่ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำนวน 4 ครั้ง ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพาเด็กหญิงผู้เสียหายอายุ 7-8 ขวบ รวม 5 คน โดยล่อลวงว่าจะพาไปซื้อขนม ก่อนจะกระทำอนาจาร และพรากผู้เสียหายทั้ง 5 คนไปจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำการด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เพื่อยินยอมให้จำเลยทั้งสองกระทำชำเรา โดยจำเลยทั้งสองยังร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย และผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายทั้ง 5 คนอีกด้วย เหตุเกิดที่แขวงและเขตสายไหม กทม.

โดยศาลชั้นต้นมีพิพากษาเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2550 ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 283 ทวิ วรรคสอง, 309 วรรคแรก, 310 ทวิ, 312 ทวิ วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม โดยจำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 68 ปี 3 เดือน ส่วนนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุก 51 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสองสูงสุดคนละ 50 ปี

ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาวันที่ 7 ก.ย. 2555 เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องความผิดของจำเลยทั้งสอง 31 ข้อ แต่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องข้อใดบ้าง และพิพากษาจำเลยที่ 1 เกินไปจากคำฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางข้อ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรในบางข้อ ศาลอุทธรณ์จึงเห็นสมควรแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมีคำพิพากษาในความผิดตามฟ้องทั้งหมดเสียใหม่ให้ชัดเจน และเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปด้วยความถูกต้อง จึงแก้เป็นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ12 ปี

ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษตามความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องไปนั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 ยื่นฎีกาต่อสู้คดี ข้อกฎหมายว่าฟ้องของอัยการโจทก์เคลือบคลุมไม่ชัดเจน และการสืบพยานเด็กผู้เสียหายล่วงหน้านั้นไม่ชอบ

ขณะที่วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกา ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่ปี 2550 ที่ศาลชั้นต้นพิจารณา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์นั้นได้ระบุช่วงเวลาเกิดเหตุ มิ.ย. 49 - 10 ส.ค. 2549 สถานที่ และพฤติการณ์พอให้จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้แล้วไม่จำเป็นต้องระบุวันเวลา ที่ชัดเจนแน่นอน ส่วนการสืบพยานล่วงหน้านั้นก็เป็นไปตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 และ มาตรา 12 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ. 2540 ซึ่งทนายจำเลยก็ระบุว่าได้ทราบกำหนดการสืบพยานล่วงหน้าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว จำเลยทั้งสองจึงแต่งตั้งทนายเพื่อร่วมกันสืบพยาน ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนจำเลยทั้งสองจะมีความผิดตามที่โจทก์ยื่นฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่าเด็กหญิงผู้เสียหาย ผู้ปกครอง และแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุนั้นจำเลยทั้งสองได้พาเด็กหญิงผู้เสียหายไปยังบ้านพักครูแล้วได้ให้เด็กหญิงถอดเสื้อผ้าและชุดชั้นในออกก่อนที่จะกระทำชำเรา โดยจำเลยใช้ไม้เรียวตีขู่ห้ามนำเรื่องราวไปบอกบุคคลอื่น ก่อนที่จะมอบเงิน 100 บาทให้ แล้วเมื่อผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหายได้พบความจริงที่กระโปรงของเด็กมีคราบเลือด รวมทั้งอวัยวะเพศของเด็กหญิงมีอาการบวมช้ำ และมีเลือดออกเป็นลิ่ม จึงได้พาเด็กหญิงไปตรวจร่างกายซึ่งแพทย์ก็ได้เบิกความว่าผลการตรวจร่างกายพบบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ กรณีดังกล่าวเกิดจากการร่วมประเวณี ซึ่งทางนำสืบพบว่าจำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิงที่โรงพลศึกษาหลังเลิกเรียน บ้านพักครู และเด็กอีก 4 คนที่พาไปยังโรงแรม โดยหลายเหตุการณ์ก็จะมีเด็กหญิงเบิกความเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งพยานโจทก์ดังกล่าวล้วนแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ขณะที่เด็กผู้เสียหายมีอายุ 7 ขวบเศษ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็เป็นครูผู้สอน เด็กหญิงย่อมเกิดความยำเกรง ดังนั้น หากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเด็กหญิงคงจะไม่ให้การปรักปรำจำเลยให้รับโทษ อีกทั้งเรื่องราวที่เบิกความก็มีรายละเอียดยากที่เด็กจะแต่งเรื่องขึ้นมา

ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี อีกรายหนึ่งนั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีเด็กหญิงผู้เสียหายและเพื่อนของเด็กหญิงในที่เกิดเหตุ บิดาของเด็กหญิงและแพทย์ผู้ตรวจ เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันว่าวันเกิดเหตุ นายลอน จำเลยที่ 1 ได้เข้ามาพบเด็กหญิงที่ห้องพยาบาล ของโรงเรียน โดยบังคับให้เด็กหญิงถอดเสื้อผ้าและกระทำชำเรา เมื่อเด็กหญิงร้องขอความช่วยเหลือก็จะข่มขู่ ระหว่างนั้นมีเพื่อนผู้เสียหายมาเคาะประตูห้องพยาบาลโดยจำเลยที่ 1 สวมกางเกงเดินออกมา แต่ไม่ทันรูดซิป ซึ่งเพื่อนของเด็กหญิงผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่เดินมาตามหาเพื่อนที่ห้องพยาบาล เห็นจำเลยที่ 1 เดินเปิดประตูออกมา และเห็นกางเกงไม่รูดซิป โดยห้องพยาบาลพบเด็กผู้เสียหายร้องไห้อยู่ จึงได้พาออกจากห้องพยาบาล และได้แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ขณะที่บิดาของเด็กผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อ้างว่าบุตรสาวปวดท้องไส้ติ่งนอนพักอยู่ที่ห้องพยาบาลจึงเดินทางมารับกลับบ้าน ซึ่งแม่เด็กผู้เสียหายเบิกความด้วยว่า ระหว่างที่อาบน้ำให้เด็กหญิงได้พบลิ่มเลือดบริเวณต้นขา ซึ่งผลการตรวจร่างกายของแพทย์ก็พบร่องรอยการชำเรา ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย

จึงพิพากษาแก้เป็นให้จำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 ฐานหน่วงเหนี่ยว กักขัง และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี อีกเป็นเวลา 7 ปี 3 เดือน และเมื่อลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาแล้ว 12 ปี จึงรวมจำคุก 19 ปี 3 เดือน นอกเหนือจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งในส่วนของนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุกไว้ 12 ปี

ทั้งนี้ ขณะฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา ขณะที่นายลอนถูกคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมมาแล้วเป็นเวลา 9 ปี

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น