xs
xsm
sm
md
lg

พ่อลูกมือโพสต์กล่าวหา ตร.จราจร ยันมีการท้าตีท้าต่อยจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พ.ต.ท.พัทธนนท์ เกียรติไพบูลย์ สว.งานสายตรวจ1 กก.1 บก.จร.คู่กรณี
สองพ่อลูกผู้โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ “ป๋าเทียร์ ประเทศไทย” เข้าพบ ผบช.น.เพื่อให้ลงโทษทางวินัย ตร.จราจร ยศ พ.ต.ท.ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทั้งยึด จยย.และท้าตีท้าต่อยจริง ส่วน ตร.คู่กรณีจะฟ้องร้องเอาผิดหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

จากกรณีที่มีการแชร์คลิปวิดีโอบนโลกออนไลน์ โดยผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ป๋าเทียร์ ประเทศไทย” เป็นผู้โพสต์ ในคลิปวิดีโอดังกล่าวเผยให้เห็นเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขน-ยึดจักรยานยนต์ของเจ้าของคลิป นอกจากนี้ เจ้าของรถยังระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่เรียกขอตรวจใบขับขี่ซึ่งตนไม่มีและก็ยอมให้ยึดรถแล้ว ทำไมต้องมากระชากแขนและท้าต่อยด้วย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ภายหลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.พัทธนนท์ เกียรติไพบูลย์ สว.งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. ก็ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (29 ก.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายชัชพงศ์ สราญจิตร์ อายุ 43 ปี และนายกานต์พงศ์ สราญจิตร์ อายุ 23 ปี ลูกชายได้เดินทางมา บช.น.ขอพบ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.เพื่อชี้แจงถึงรายละเอียดเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวว่าที่มาก็เพื่อที่จะให้ทางผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ท.พัทธนันท์ ได้ลงโทษทางวินัยหรืออบรมกิริยามารยาท เพราะเป็นถึงนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่กลับมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการพูดคุยกับประชาชนตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ รวมถึงการพูดคำหยาบตนไม่ได้พูดเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดว่าคุณไม่มีจิตสำนึกที่จะพูดจาดีหรือไง และยืนยันว่าท้าต่อยตำรวจเพื่อเป็นอุบายออกห่างไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง

ด้านนายกานต์พงศ์ ลูกชายกล่าวว่า ในวันเกิดเหตุดังกล่าวที่มีการท้าต่อย แล้วขอไปใส่ชุดทหารนั้นเนื่องจากว่าเห็นท่าทางไม่ดี โดยหากยังคงอยู่บริเวณเกิดเหตุอาจจะเป็นเรื่องใหญ่โตกว่านี้ก็ได้ จึงเป็นคล้ายกับการออกอุบายเพื่อออกไปจากจุดนั้น ส่วนที่ทางตำรวจบอกว่าขี่จักรยานยนต์รับจ้างนั้นตนไม่ได้รับส่งผู้โดยสาร แต่เป็นการรับส่งเอกสาร หากมีคนฝากก็จะอาสาไปส่งโดยไม่รู้ว่าการทำแบบนั้นผิดหรือไม่

ขณะที่ พ.ต.ท.พัทธนันท์กล่าวว่า การลงโทษรวมถึงการที่จะให้ฟ้องร้องเอาผิดต่อคู่กรณีนั้นก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งจะออกมาแบบไหนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ส่วนที่คู่กรณีอ้างว่าทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดเฟซบุ๊กไปนั้นยืนยันว่า ทางตำรวจไม่ได้กระทำแน่นอน เพราะหลักฐานข้อมูลการเผยแพร่คลิปที่ก่อให้เกิดความเสียหายในในเฟซบุ๊ก จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะปิด


กำลังโหลดความคิดเห็น