“จอนนี่มือปราบ” ยอมรับเคยคิดลาออกจากตำรวจกลับบ้านเกิดที่อุบลราชธานี แต่ได้เปลี่ยนใจหลังเข้าปรึกษาผู้บังคับบัญชาแล้วได้รับกำลังใจ พร้อมคำชื่นชม และมองว่ายังทำประโยชน์ให้ชาวบ้านในฐานะมือปราบได้ พร้อมเผยเตรียมเปิดสายด่วน “จอนนี่รับชี้เบาะแส” ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสอาชญากรรมเป็นข้อมูลตามจับคนร้าย
วันนี้ (17 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. จ.ส.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์ หรือมือปราบจอนนี่ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ที่มีกระแสออกมาว่าตนจะลาออกจากข้าราชการตำรวจนั้นยอมรับว่าเป็นความจริง แต่ขอไม่เปิดเผยถึงสาเหตุ ประกอบกับช่วงนั้นตนมีความคิดอยากออกไปทำธุรกิจทำประโยชน์ให้แก่บ้านเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้แก่ผู้คนที่อยู่ที่นั่น ต้อนรับประชาคมอาเซียนที่กำลังจะมาถึง แต่พอเข้าไปปรึกษาท่าน พ.ต.อ.อัคราเดช พมิลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง และ พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบก.ป. ผู้บังคับบัญชา ทุกท่านยังมองว่า ตนยังพอที่จะทำงานที่เป็นประโยชน์ และสร้างผลงานให้แก่สังคมและองค์กรได้ เลยกล่าวชื่นชม พร้อมทั้งให้กำลังใจในการทำหน้าที่มือปราบ พร้อมกับอาชีพธุรกิจเสริมที่จะสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนต่อไป ตนจึงเปลี่ยนความคิด และหันกลับมาทำหน้าที่ตำรวจรับใช้ประชาชนต่อไป เพราะยังมีประชาชนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือ
จ.ส.ต.ยุทธพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังมีแผนงานโครงการพิเศษอีก 1 โครงการ ที่กำลังจะจัดทำขึ้นในอนาคตเร็วๆ นี้ คือ โครงการเปิดสายด่วน “จอนนี่รับชี้เบาะแส” โดยจะเปิดเบอร์โทร.พิเศษขึ้นมา 1 เบอร์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีเบาะแส หรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาะแสซุ้มมือปืน กลุ่มแก๊งอาชญากรรม บุคคลตามหมายจับ เพื่อเป็นข้อมูลในการสืบสวนจับกุมคนร้าย โดยจะมีการอัปเดตข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโครงการดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก “ยุทธพล ศรีสมพงษ์”
สำหรับประวัติของ จ.ส.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์ หรือมือปราบจอนนี่ นั้นเริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2543 ที่ สน.คันนายาว โดยทำหน้าที่ในสายงานสืบสวน ก่อนจะย้ายเข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองบังคับการปราบปรามเมื่อปี พ.ศ.2556 ซึ่งตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่รับราชการตำรวจนั้น จ.ส.ต.ยุทธพล สร้างผลงานการจับกุมคดีสำคัญต่างๆ มากมาย เช่น ฆ่าข่มขืนหญิงสาวภายในซอยพหลโยธิน 54 เหตุเกิดเมื่อปี 50 และคดีปล้นฆ่าภายในซอยสุขุมวิท 49 เมื่อปี 53 แต่ผลงานที่ทำให้ จอนนี่มือปราบ เป็นที่รู้จักของประชาชนในวงกว้างมากขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์จับกุมผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ลิขสิทธิ์รีดไถเรียกเก็บเงินพ่อค้าแม่ค้า ก่อนจะมีผู้นำภาพเหตุการณ์ดังกล่าวมาชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ผ่านทางโซเชียลมีเดีย จนทำให้กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในเวลาต่อมา