ตำรวจเผยชีวิตสุดรันทด “เดี่ยว สิงห์ทอง” นักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ฮีโร่เจ้าของ 2 เหรียญทองค้ายาบ้า เจอปัญหาชีวิตรุมเร้า แบกภาระเลี้ยงดู 8 ชีวิต
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. ร.ต.อ.สิทธิ์เสรี อินทร์รัตน์ รอง สว.กก.ปพ.บก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีจับกุม นายวุฒิพล หรือเดี่ยว สิงห์ทอง อายุ 30 ปี นักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยที่หลงผิดมาค้ายาบ้าว่า ภายหลังจับกุมตัวตนได้มีโอกาสพูดคุยทำให้ทราบว่านายวุฒิพลชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร ไม่ค่อยให้ใครรู้ปัญหาส่วนตัว อีกทั้งปูมหลังชีวิตเป็นคนรันทด พักอาศัยกับตายาย เพราะพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก มีตายาย และน้าที่เลี้ยงดู
ร.ต.อ.สิทธิ์เสรีกล่าวว่า จากนั้นเมื่อปี 2547 นายวุฒิพลต้องมาพบกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่เมื่อประสบเหตุทะเลาะวิวาท มีการใช้อาวุธปืนแล้วถูกกระสุนลูกหลงจนต้องพิการนั่งรถวีลแชร์ แต่ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านกีฬา จึงได้รับคัดเลือกให้ฝึกฝนและลงทำการแข่งขันเป็นตัวแทนนักกีฬาคนพิการ ไต่อันดับจนสามารถเป็นตัวแทนทีมชาติไทย ทำผลงานคว้าเหรียญรางวัลจนสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติมามากมาย โดยรายการล่าสุดคือเหรียญทองจากการแข่งขันพุ่งแหลน และทุ่มน้ำหนักชาย ในกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 7 ได้เงินรางวัลจากสมาคมฯ 100,000 บาท
ร.ต.อ.สิทธิ์เสรีกล่าวต่อว่า ในส่วนรายได้ที่ได้รับมาก็ถูกนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยผู้ต้องหามีรายได้ไม่แน่นอน มีเพียงเบี้ยเลี้ยงจากสมาคมฯ วันละ 900 บาทซึ่งจะได้เฉพาะเวลาเข้าแคมป์เก็บตัวเพื่อลงทำการแข่งขันเท่านั้น โดยต้องประสบความสำเร็จจากการแข่งขันด้วยจึงได้รับเงินอัดฉีด ที่ผ่านมาได้นำเงินรางวัลไปซื้อรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ในราคา 70,000 บาท แบ่งให้แฟนสาว 20,000 บาท แต่ภายหลังกลับประสบปัญหาชีวิตหลายอย่าง โดยเรื่องความรักก็เพิ่งแยกทางกับแฟนสาว ไม่มีรายได้จนถูกคนรู้จักชักชวนให้ค้ายาเสพติดดังกล่าว
ขณะที่ญาติผู้ต้องหาระบุว่า ที่ผ่านมาผู้ต้องหาพักอาศัยกับตายาย และน้าในบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูง ต่อมามีการดัดแปลงใต้ถุนบ้านเป็นห้องพัก แต่ไม่ได้ทำงานอะไรจึงมีฐานะค่อนข้างอัตคัด ช่วงที่ไม่ได้แข่งขันกีฬาก็ไม่ทราบว่าได้ถูกเพื่อนฝูงชักจูงให้ไปค้ายาเสพติด แต่ก็คงไม่ขอเปิดเผยอะไรมากเนื่องจากทางครอบครัวรู้สึกสะเทือนใจ ยังทำใจไม่ได้ ส่วนกรณีที่สมาคมกีฬาคนพิการจะให้โอกาสนายวุฒิพล หรือเดี่ยว กลับไปรับใช้ชาติอีกครั้งหลังจากพ้นโทษนั้นคงขึ้นอยู่กับผู้บริหารสมาคมฯ ที่จะตัดสินใจขอขอบคุณที่ให้โอกาส แต่อยู่ที่เจ้าตัวว่าพร้อมจะกลับมาหรือไม่