ASTVผู้จัดการ - สาวเจ้าของโรงงานพริกไทยที่สระบุรีโร่แจ้งความ สภ.ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี หลังถูกหลอกเชิดสินค้ามูลค่าร่วม 3 แสนบาท แต่กลับถูก ตร.ลาดหลุมแก้วไล่กลับไปแจ้งความที่สระบุรี อ้างไม่ใช่พื้นที่ต้นเหตุ เจ้าตัวเชื่อทำเป็นขบวนการ
วันนี้ (12 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.รฐานา พจน์จิรานุกูล เจ้าของโรงงานพริกไทยแห่งหนึ่งในตัว อ.เมือง จ.สระบุรี ว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาตนได้ถูกแก็งมิจฉาชีพหลอกให้นำเอาสินค้าซึ่งเป็นพริกไทยดำ-ขาวไปส่งที่โกดังย่านลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ก่อนที่จะถูกเชิดสินค้าดังกล่าวไป และเมื่อตนได้เข้าแจ้งความยัง สถานีตํารวจภูธรลาดหลุมแก้วซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุ ทว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับให้ไปแจ้งความที่จังหวัดสระบุรีแทน
น.ส.รฐานาได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมาตนได้รับการติดต่อจากชายคนหนึ่งระบุว่าชื่อ “พิเชษฐ์” ต้องการจะซื้อพริกไทยจำนวน 500 กิโลกรัมรวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 3 แสนบาท โดยกำหนดให้เอาไปส่งที่ตลาดแถวลาดหลุมแก้ว ต่อมาในวันจันทร์ที่ 10 พ.ย. ตนพร้อมคนงานชายหนึ่งคนจึงได้ขับรถไปส่งของยังจุดนัดหมาย แต่ในระหว่างทางนายพิเชษฐ์ได้โทร.มาพร้อมขอเปลี่ยนสถานที่จัดส่งโดยให้เอาของไปลงในตึกหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวตลาดไม่มากนัก หลังจากไปถึงตึกดังกล่าวซึ่งอยู่แถวหมู่บ้านนพวงศ์ในเวลาประมาณ 15.00 น. ก็พบว่ามีชายคนหนึ่งรอรับของอยู่ ตอนนั้นตนก็รู้สึกเอะใจขึ้นมาบ้างแล้วเพราะเด็กที่รับของนั้นเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแถมตึกก็เป็นพื้นที่โล่งๆ ว่างเปล่า ในระหว่างที่เอาของลงนายพิเชษฐ์ก็ได้โทรศัพท์มาบอกตนว่าให้เอาบางส่วนนั้นไปส่งที่ตลาดแถวรังสิตซึ่งอยู่ไกลออกไปกว่า 20 กิโลเมตร ตนจึงได้ให้เด็กที่รอรับของนั้นนั่งรถไปด้วยเพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เมื่อถึงตลาดเด็กที่นั่งมาด้วยก็ยื่นใบรับเงินให้ตนเขียนเพื่อที่จะเอาไปยื่นกับนายพิเชษฐ์ที่รออยู่ แต่ตนได้บังคับไม่ให้เด็กลงจากรถและบอกว่าหากจะไปก็ไปพร้อมกัน ซึ่งเด็กคนนั้นก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลน บอกให้ตนโทรไปหานายพิเชษฐ์เพราะตนเองแบตเตอรี่โทรศัพท์หมด ระหว่างนั้นก็ขอตัวลงไปสูบบุหรี่ตนก็ให้เด็กส่งของเดินตามประกบ สักครู่เด็กคนนั้นก็ขอตัวจะไปฉี่แล้วก็วิ่งหนีทันที ลูกน้องตนก็วิ่งตามไป ตอนนั้นเองนายพิเชษฐ์ก็โทร.เข้าเครื่องตนพอดีถามว่าเด็กรับขอยังอยู่ด้วยมั้ย ตนก็บอกว่ายังอยู่เพราะต้องการจะถ่วงเวลา
ไม่นานลูกน้องก็โทร.เข้ามาบอกว่าเด็กวิ่งหนีไปแล้ว และพอตนโทรกลับไปหานายพิเซษฐ์ปรากฏว่าก็ไม่สามารถติดต่อได้แต่อย่างใด ตนจึงรับโทรศัพท์ไปยัง สภ.ลาดหลุมแก้วเพื่อขอให้ไปตรวจสอบที่ตึกดังกล่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็รับปากว่าจะส่งคนไปดักเพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใกล้ๆ และเมื่อตนไปถึงที่เกิดเหตุตำรวจก็แจ้งว่าอีกฝ่ายนั้นได้ขนของออกจากตึกไปหมดแล้ว
จากนั้นตนจึงได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าตนจะแจ้งความที่ตรงนี้หรือว่าต้องไปที่สถานี ปรากฏว่าเจ้าหน้าตำรวจกลับไม่รับแจ้งความ แต่ให้ตนกลับมาแจ้งความที่จังหวัดสระบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ต้นเรื่องแทน ตนจึงย้อนกลับมาที่สระบุรีในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสระบุรีก็ได้มีการโทรศัพท์กลับไปยัง สภ.ลาดหลุมแก้วและมีการพูดคุยกันทำนองบ่ายเบี่ยงโยนกันไปโยนกันมา แต่สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สระบุรีก็ได้รับแจ้งความเอาไว้
สำหรับหลักฐานที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของคนที่เช่าตึกดังกล่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพิมพ์ออกมาจากเลขที่บัตรประชาชนที่เจ้าของตึกได้แจ้งมา ซึ่งตัวเจ้าของตึกเองยังได้บอกด้วยว่าตอนที่มีการมาเช่าตึกนั้นตัวคนที่เอาสำเนาดังกล่าวมาให้เป็นคนละคนกันแต่ตนก็ไม่ได้เอะใจเพราะมีการเซ็นสัญญาและมีการจ่ายเงินที่ถูกต้องแล้วนั่นเอง
น.ส.รฐานายังได้บอกต่อด้วยว่าตนยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทและความผิดพลาดของตนเองอันเนื่องมาจากความไว้วางใจเพราะตลอดเวลาของการทำธุรกิจมาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ที่ตนไม่เข้าใจก็คือการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและให้ความสนใจกับผู้เสียหายสักเท่าไหร่ ตนยอมรับว่าไม่คาดหวังว่าทางเจ้าหน้าที่จะจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้และก็เชื่อว่าที่่ผ่านมาคงไม่ได้มีแค่ตนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่ดูเหมือนจะมีการทำงานที่เป็นขบวนการในครั้งนี้