จากสองกรณีนี้ได้สะท้อนภาพการทำงานในช่วงที่ยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ ส่งผลให้เกิด “สภาวะขบเหลี่ยม” กันอยู่ระหว่าง 2 หน่วยงาน...เมื่อทหารออกไปจับ แต่ตำรวจเจ้าของพื้นที่กลับไม่รู้เรื่อง?
กลายเป็นรอยร้าวอีกครั้ง! สำหรับบุรุษลายพรางและเหล่าสีกากี โดยล่าสุดเกิดขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากมีข่าวเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ผบ.ม.4 รอ.) กองพลทหารม้าที่ 2 สนธิกำลังกับอาสาสมัครฝ่ายปกครองร่วม 50 นาย บุกจู่โจมเข้าตรวจค้นร้านอาหารโต้รุ่งชื่อ “หม่ำหม่ำ” ที่ตั้งอยู่ภายในตลาดแกรนด์ หมู่ที่ 1 ตำบลธนู อำเภออุทัย ภายในร้านถูกดัดแปลงให้คล้ายกับผับ โดยเปิดขายข้าวต้ม, ขายสุรา และเปิดเพลงเร้าใจ ที่จะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวยามราตรีเข้ามาใช้บริการแน่นเต็มร้านถึงเช้าตรู่แทบทุกวัน...
โดยการบุกเข้าตรวจค้นครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากได้รับการร้องเรียนว่าร้านดังกล่าวไม่มีใบอนุญาต และมีเหตุทะเลาะวิวาทเป็นประจำ รวมถึงมีการกล่าวหาจากประชาชนว่ายังมีการลักลอบเปิดเป็นบ่อนพนันอีกด้วย แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังเปิดบริการได้ทุกวันมาเป็นเวลานานหลายปี โดยทางตำรวจในพื้นที่ไม่เข้าไปยุ่งเหมือนที่อื่นๆ...
ร้านดังกล่าวมี “สโรยา พูนทรัพย์” รับเป็นเจ้าของ จากการตรวจค้นภายในพบว่าไม่มีใบอนุญาตเปิดร้านอาหาร มีเพียงใบอนุญาตจำหน่ายสุราเท่านั้น อีกทั้งยังพบปืนลูกซองสั้นและกระสุน...ส่วนนี้ได้มีการส่งเรื่องให้เจ้าพนักงานปกครองท้องถิ่น ดำเนินการตามกฎหมาย และกำชับให้เข้มงวดกวดขัน ห้ามมิให้มีการลักลอบเปิดร้านอีก พร้อมแจ้งข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง และตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
...แต่ไฮไลต์ในการจับกุมครั้งนี้ คงอยู่ที่กรณีเจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้นเจอ “สมุดโพย” ที่มีรายชื่อการจ่ายเงินสดให้บรรดานายตำรวจในพื้นที่กันอย่างถ้วนหน้า แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้น คือ ในกระดาษมีการเขียนชื่อยศ และเบอร์โทรศัพท์ของเหล่าบุรุษสีกากีคนนั้นๆ ไว้อย่างครบครัน...
โดยมีรายงานจากชุดจับกุมว่า พบชื่อคุณพี่โปลิศไล่ตั้งแต่กระจิ๊บ จนถึงยศ “ตัวเอ้” เข้าไปมีชื่อเป็นบุคคล “วีไอพี” ที่ร้านขาใหญ่ประอำเภออุทัยนี้ต้องส่งส่วย “ปิดปาก” ให้เดือนละไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นบาททีเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากขุดเจอโพยดังกล่าว ทางชุดจับกุมได้ส่งหลักฐานร้อนๆ นี้ให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ “อภิชาติ โตดิลกเวชน์” ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สั่งการเร่งตรวจสอบเรื่องดังกล่าวทันที พร้อมขู่ว่าหากมีเจ้าหน้าที่รายใดกระทำความผิด เตรียมดำเนินการทางกฎหมายไม่มีข้อละเว้น
ด้าน “บิ๊กคิด” พล.ต.ต.เสริมคิด สิทธิชัยกานต์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ออกมาวิ่งแจ้นปฏิเสธข่าวตำรวจเรียกรับส่วยทันที พร้อมระบุว่าร้านดังกล่าวแค่เปิดขายข้าวต้มเกินเวลาเท่านั้น และไม่ได้เปิดเป็นบ่อนพนันแน่นอน...
จะว่าไปเหตุการณ์ทำนองนี้ก็คล้ายปม “บ่อนหนองเรือ” ที่ทางชุดเฉพาะกิจของเหล่าบุรุษลายพราง จังหวัดขอนแก่น บุกเข้าจับกุมบ่อนพนันในอาคารพาณิชย์ เลขที่ 25/210 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลโนนทัน อำเภอหนองเรือ...ซึ่งช่วงแรกทางตำรวจเจ้าของพื้นที่ออกมายืนยันหนักแน่นว่าไม่มีบ่อนพนันดังกล่าว แต่สุดท้ายก็อย่างที่รู้กันว่าบ่อนนี้มีอยู่จริง!?!
ส่วนการสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นยังไม่แล้วเสร็จ โดยทาง พ.ต.อ.อัคชัย ยลโสภณ พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ระบุว่ายังอยู่ในขั้นตอนขอศาลออกหมายจับนักพนัน พร้อมกับเสียงอ่อยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากความเข้าใจผิดเท่านั้น...
อย่างไรก็ตาม จากสองกรณีนี้ได้สะท้อนภาพการทำงานในช่วงที่ยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ ส่งผลให้เกิด “สภาวะขบเหลี่ยม” กันอยู่ระหว่าง 2 หน่วยงาน...เมื่อทหารออกไปจับ แต่ตำรวจเจ้าของพื้นที่กลับไม่รู้เรื่อง?
โดยความไม่ลงรอยระหว่างบุรุษลายพราง และเหล่าสีกากี คงไม่จบลงแค่นี้แน่นอน...แต่ก็ไม่รู้ว่างานนี้จะมีอะไรสอดไส้เพื่อลองของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่?
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะออกมาทิศทางไหน หรือมีการเจอ “โพยส่วย” จริงหรือไม่ เดี๋ยวคงรู้ดำรู้แดง แต่ที่แน่ๆ บรรดาผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) คงต้องออก “แอ็กชัน” ทำความสะอาดบ้านตัวกันบ้างได้แล้ว...