ครอบครัว “น้องธันย์” เปิดใจขอบคุณสื่อมวลชน ช่วยเสนอข่าวพลัดตกรางรถไฟฟ้า ประเทศสิงคโปร์ แม้การต่อสู้ในชั้นศาลจะไม่ชนะคดี แต่ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ขอเพียงโอกาสให้ได้ใช้ชีวิตตามปกติ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (4 ต.ค.) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ และ น.ส.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ ซึ่งพลัดตกรางรถไฟฟ้าถูกรถไฟทับที่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้สูญเสียขาสองข้าง และต่อมาได้ยื่นฟ้องต่อรัฐบาลสิงคโปร์ เดินทางมาเปิดใจขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยกันนำเสนอข่าว โดยมี นายศาสนะ ศิริลาภ กรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ เป็นตัวแทนให้การต้อนรับ
นายกิตติ์ธเนศ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ น้องธันย์ ได้ขึ้นศาลทั้งสามศาล และต่อสู้จนจบคดี ก็อยากจะเดินทางมาขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าว จากการตัดสินของศาลล่าสุดนั้น ถ้าพูดกันภาษากีฬาก็คือ ศาลให้เสมอกัน ไม่มีการรับผิดชอบใดๆ เลย เมื่อทางทนายความสอบถามเรื่องการสร้างที่กั้นรถไฟฟ้า ทางนั้นก็ตอบว่าประเทศอื่นก็ไม่ทำ จึงยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งเป็นคำตอบของประเทศที่ร่ำรวยอันดับต้นของโลก มีความพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่เห็นความรับผิดชอบใดๆ และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไทยให้การช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่นกัน จึงอยากวิงวอนให้เห็นความสำคัญของเด็กไทยที่ไปใช้ชีวิตในต่างแดนบ้าง อยากให้จัดหน่วยงานขึ้นดูแลโดยเฉพาะ เพราะที่จริงแล้วการส่งน้องไปเรียนที่สิงคโปร์นั้นก็เพื่อให้น้องเรียนวิชาความรู้แล้วเอากลับมาพัฒนาประเทศ
นายกิตติ์ธเนศ กล่าวต่อว่า สิ่งที่จะทำต่อไปคือ ในวันอังคาร จะให้น้องธันย์ เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะนายกรัฐมนตรี เพื่อทวงถามไปยังรัฐบาลของประเทศสิงคโปร์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเขาไม่เสียอะไรเลย แต่น้องเสียขาไปทั้งสองข้าง วันที่ขึ้นศาลก็มีสื่อประเทศสิงคโปร์มาทำข่าว แต่ข่าวที่นำเสนอออกไปก็เหมือนถูกปิดบางประเด็น สำหรับขาเทียมของน้องธันย์นี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครอบครัวตนมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงให้เห็นว่า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของไทยเมื่อทรงทราบเรื่องความเดือดร้อนของพสกนิกร ไม่ว่าจะมุมไหนของโลกก็ทรงช่วยเหลือทันที โดยทรงพระราชทานขาเทียมคู่นี้ซึ่งมีมูลค่า 3 ล้านบาท ขณะที่ขาเทียมคู่ต่อไปซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยน โดยเป็นขาเทียมที่ใช้ระบบสัมผัสประสาทผ่านทางสมอง ซึ่งมีราคาแพงมาก จึงหวังว่ารัฐบาลไทยจะเจรจาช่วยเหลือให้ได้ขาเทียมคู่ใหม่ เพื่อน้องธันย์ จะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ไม่ได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ขอเพียงโอกาสแค่นี้เท่านั้น
ด้าน น.ส.ณิชชารีย์ หรือน้องธันย์ กล่าวว่า เมื่อทราบคำตัดสินของศาลก็รู้สึกเศร้ามาก ร้องไห้เลย เพราะตนเองรู้สึกกดดันต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครให้การช่วยเหลือเลย สื่อต่างประเทศก็นำเสนอบางประเด็นเท่านั้น ทำให้รู้สึกไม่มีที่พึ่ง และตอนนี้ตนเองเรียนม.5 แล้ว ต่อไปในอนาคตก็ตั้งใจจะเรียนภาควิชาจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามที่คาดหวังไว้มาตลอด
นายศาสนะ กล่าวว่า ก็ต้องขอบคุณคุณพ่อ และน้องธันย์ ที่เข้ามาเปิดใจขอบคุณสื่อมวลชน ถึงแม้ว่าคำตัดสินทางคดีจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ในฐานะสื่อมวลชนไทยก็ยังยินดีที่จะเป็นสื่อกลางในการประสานงานช่วยเหลือ ติดตาม และเผยแพร่ข้อมูลให้สังคมได้รับทราบ หากมีอะไรให้ทางสมาคมฯ ช่วยเหลือก็ยินดีที่จะประสานสื่อมวลชนต่อไป