ตำรวจท่องเที่ยวจับสองผู้ต้องหาจีน ลักลอบใช้บัตรเครดิตปลอมรูดซื้อสินค้าภายในห้างพารากอน มูลค่าความเสียหายกว่า 2 แสน สารภาพนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ และได้ข้อมูลทางการเงินเหยื่อจากในอินเทอร์เน็ต
เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (4 ต.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) พล.ต.ต.อภิชัย ธิอามาตย์ ผบก.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.กิตติพงษ์ รณหงษา สว.สส.กก.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ทท.แถลงข่าวจับกุม นายจาง หลี่หมิง อายุ 30 ปี สัญชาติจีน และนายเหวย ฉินลี่ อายุ 24 ปี สัญชาติจีน พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเครดิต) จำนวน 28 ใบ เครื่องบันทึกข้อมูลลงในแถบแม่เหล็ก 1 เครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง เครื่องเคลือบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 1 เครื่อง เครื่องตอกตัวเลข และตัวอักษรบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 1 เครื่อง โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม. เมื่อเวลา 17.30 น.ของวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.อภิชัย กล่าวว่า ตำรวจได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ว่ามีกลุ่มบุคคลชาวต่างชาติใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมชำระค่าสินค้า ภายในร้านโซนี่ ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าพารากอน เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบผู้ต้องหาทั้งสองบริเวณหน้าร้านดังกล่าว จากการตรวจสอบพบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม จำนวน 3 ใบ และกล้องยี่ห้อโซนี่ รุ่นอัลฟ่า 77 ทู จำนวน 1 ตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผล และเดินทางไปค้นห้องพักที่โรงแรมเอวันอินน์ ใกล้กับห้างมาบุญครอง พบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ของกลางดังกล่าว
จากกการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพว่า เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมอุปกรณ์ทั้งหมดซึ่งซื้อมาจากประเทศจีน ในราคา 1,000 หยวน หรือ 5,000 บาท ส่วนข้อมูลเหยื่อนั้นได้ซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยหลังจากเข้ามาในประเทศไทยได้เริ่มก่อเหตุใช้บัตรดังกล่าวเรื่อยมาเพื่อรูดซื้อสินค้าต่างๆ เช่น ทองคำ กล้อง กระเป๋า และรองเท้าราคาแพง ส่วนสาเหตุที่เลือกประเทศไทยในการก่อเหตุ เนื่องจากสามารถใช้บัตรได้สะดวกรวดเร็ว
พ.ต.ท.กิตติพงษ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหาทั้งสองเข้าออกประเทศไทยรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค.ใช้เวลาอยู่ในประเทศไทย 10 วัน และครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ก็เดินทางเข้ามาก่อเหตุดังกล่าวอีก ซึ่งจากการตรวจสอบคาดว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการที่ยังหลบหนีอยู่อีก ซึ่งเป็นผู้ที่ควบคุมดูแลผู้ต้องหาทั้งสอง ส่วนความเสียหายเบื้องต้นมีมูลค่ากว่า 2 แสนบาท ซึ่งยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันมีเครื่องมือ หรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลง บัตรอิเล็กทรอนิกส์, ร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน ก่อนคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป