ช่อง 3 ส่งทนายฟ้อง “สุภิญญา กลางณรงค์” พ่วง กสทช. อีก 2 ราย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาท ออกคำสั่งทางปกครองไม่ให้นำสัญญาณช่อง 3 ไปออกอากาศผ่านระบบดาวเทียม และเคเบิลทีวี เบื้องต้นศาลรับฟ้องไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องต่อไป
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (8 ก.ย.) บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 มอบอำนาจให้ นายสุรัตน์ชัย มั่นศรีถาวร ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ และ นายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กรรมการ กสทช. เป็นจำเลยฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ศาลรับฟ้องไว้ตรวจฟ้องเป็นคดีดำที่ อ.2888/2557
คำฟ้องสรุปว่า โจทก์ดำเนินกิจการโทรทัศน์สีช่อง 3 จำเลยเป็นกรรมการ กสทช. และ กสท. เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2557 จำเลยทั้งสาม ได้จัดให้มีการประชุม กสท. นัดพิเศษ ที่สำนักงาน กสทช. โดยทราบดีว่าเป็นการประชุมที่ฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2548 และระเบียบอื่นๆ โดยมุ่งหมายเพื่อออกคำสั่งทางปกครอง ให้ระงับการนำสัญญาณของโจทก์ไปถ่ายทอดผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิลทีวี กล่าวคือ ในการประชุมนั้น ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและระเบียบ ซึ่งประธาน หมายถึงประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ การประชุมก็คือการประชุม 2 รูปแบบ คือ โดยเปิดเผย กับแบบจำกัดผู้เข้าฟัง โดยประธาน กสท. มีอำนาจกำหนดว่าการประชุมแต่ละครั้งจะเป็นรูปแบบใด ซึ่งต้องนัดประชุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน การเสนอเรื่อง เจ้าของเรื่องต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณะอักษร เป็นต้น
แต่จำเลยร่วมกันจัดประชุมโดยประธาน กสท. ไม่ได้ออกคำสั่ง ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า กับเร่งรัดให้ประชุมนัดพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพื่อต้องการหลักเกณฑ์ทางปกครอง ไปยังผู้บริหารเครือข่าย ทรู แกรมมี่ เพื่อไม่ให้นำสัญญาณโทรทัศน์ของโจทก์ ออกเผยแพร่ผ่านระบบดาวเทียม และเคเบิล โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ทั้งที่รู้ว่าการประชุมฝ่าฝืนระเบียบ และได้แอบอ้างชื่อ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. ต่อสื่อมวลชนว่า กสท. จัดประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณากรณีปัญหาการระงับการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบสัญญาณอนาล็อก ทั้งๆที่ความจริง ยังไม่มีการเสนอวาระดังกล่าว
จากนั้นโจทก์ได้ระบุเอกสารข้อความในทวิตเตอร์ของ พ.อ.นที รวม 18 รายการ เพื่อสนับสนุนข้อตามฟ้อง อีกทั้งฟ้องต่อไปว่า ข้อความที่โจทก์อ้างในฟ้องรวม 18 ข้อข้างต้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลางของจำเลยที่ 1 ทั้งส่งผลกระทบในวงกว้าง มีการนำประเด็นไปเผยแพร่ในสื่อต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง มีข้อความใความโจทก์ด้วยความเท็จ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียดูหมิ่นเกลียดชังจากบุคคลทั่วไป
นอกจากนี้ โจทก์เห็นว่า จำเลยไม่มีความเป็นกลาง มีเจตนาทุจริตให้ประชาชนเกลียดชังโจทก์ มีลักษณะการกระทำเป็นฝ่ายตรงข้ามโจทก์อย่างชัดเจน รวมทั้งข่มขู่โจทก์เกี่ยวกับการออกอากาศคู่ขนาน ซ้ำจำเลยยังหมิ่นประมาทโจทก์อีก ทั้งในทีวีดิจิตอล และสถานีโทรทัศน์อื่นๆ กล่าวทำนองว่าโจทก์มีอภิสิทธิ์ อำนาจนิยมอุปถัมป์ เป็นต้น ทั้งนี้ การเผยแพร่ความความหมิ่นประมาทดังกล่าวได้ถ่ายทอดไปตามระบบอินเทอร์เน็ต จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีด้วย จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามกฎหมาย ศาลรับคำฟ้องไว้เพื่อนัดว่ารับไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่วันที่ 18 ก.ย.นี้