ศาลจำคุก 15 ปี หนุ่มพกปืนอ้างเป็นตำรวจดุสิตแย่งกระเป๋าสตางค์ เอาเงินสดและทรัพย์สินมูลค่า 1,500 บาท ชี้ผู้เสียหายจดจำใบหน้าจำเลยได้ชัดเจน ไม่มีเหตุที่จะปรักปรำให้ต้องรับโทษ
ที่ห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (2 ก.ย.) ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดี หมายเลขดำ อ.3602/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายภูริพัฒน์ หรือโบ กุลพาณิชย์ อายุ 37 ปี ชาว จ.นนทบุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธ และใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2543 เวลากลางคืน ขณะที่นายปิยะ ทินบัตร ผู้เสียหายกำลังเดินอยู่บริเวณปากซอยสุโขทัย 8 แขวงและเขตดุสิต กทม. จำเลยได้ขี่จักรยานยนต์มาเรียกให้ผู้เสียหายหยุดและอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต ขอดูบัตรประจำตัวประชาชน ขณะที่ผู้เสียหายกำลังหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ จำเลยได้พูดจาข่มขู่และแย่งกระเป๋าซึ่งมีเงินสดจำนวน 1 พันบาท บัตรประจำตัว บัตรประกันสังคม และอื่นฯ รวมมูลค่า 1,500 บาท ต่อมาผู้เสียหายพยายามแย่งเอากระเป๋าสตางค์คืน แต่เห็นด้ามปืนโผล่ออกมาจากชายเสื้อแจ็กเกตของจำเลยจึงเกิดความกลัว ส่วนจำเลยได้ขี่จักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมทรัพย์สิน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิตได้ติดตามแจ้งข้อหาดำเนินคดี แต่จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีโดยตลอดอ้างว่าคืนเกิดเหตุพักอาศัยอยู่กับบิดาและมารดาที่ จ.นนทบุรี ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟส่องสว่างสามารถจดจำใบหน้า และลักษณะเฉพาะของจำเลยซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะเถิกได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธแค้นกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายให้ต้องรับโทษ ข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นข้ออ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ให้จำคุกเป็นเวลา 15 ปี และให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 1,500 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย