ศาลฎีกามีคำสั่งยืนให้ยกคำร้อง คดี “ลูกน้องป๋าลอ” ขอเพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนใบสำคัญคดีถึงที่สุด คงจำคุกจำเลย 7 ปีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (27 ส.ค.) ศาลอ่านคำสั่งศาลฎีกา ที่ จ.ส.ต.เสวก หรือส่วย กันทะมา อดีตตำรวจสังกัด ผ.5 กก.2 ป. จำเลยที่ 7 ยื่นขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ได้เพิกถอนใบสำคัญสิ้นสุดคดียักยอกเพชรซาอุฯ หมายเลขดำ ด.4903/2536 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ พ.ต.อ.ประเสริฐ จันทราพิพัฒน์ ผู้กำกับการตำรวจม้า กองบังคับการตำรวจสายตรวจ (ยศขณะนั้น), พ.ต.ต.ธานี สีดอกบวบ สารวัตร กก.กาฬสินธุ์ (หลบหนีการดำเนินคดี), ร.ต.อ.ฤทธิศาสตร์ แก้วเดช รอง สว.สส.สภ.อ.บ้านตาก จ.ตาก, ด.ต.เท่ง ติ๊บปะละวงศ์ ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน จ.ลำปาง, จ.ส.ต.สนิท กาวิชา ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน, จ.ส.ต.เสวก หรือส่วย กันทะมา สังกัด ผ.5 กก.2 ป. และนายสุรจิต หรือแดงหงอก ชัยศิริ (เสียชีวิตเมื่อปี 2547) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, ร่วมกันเบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนเองโดยทุจริตและความผิดอื่นๆ หลายข้อหา
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 7 เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2549 ต่อมาจำเลยที่ 7 ไม่ได้อุทธรณ์ จึงได้ยื่นคำขอเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2550 ให้ศาลชั้นต้นออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด จากนั้นเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 50 ศาลชั้นต้นได้ออกใบสำคัญคดีถึงที่สุดให้กับจำเลยที่ 7 แต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นอัยการยื่นอุทธรณ์คดี และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 55 พิพากษากลับจำคุกจำเลยที่ 7 เป็นเวลา 7 ปี และต่อมาศาลอุทธรณ์ได้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คำสั่งที่ศาลชั้นต้นออกใบสำคัญคดีถึงที่สุดชอบหรือไม่นั้น คำสั่งที่ศาลอุทธรณ์ยกเลิกใบสำคัญคดีถึงที่สุดที่ศาลชั้นต้นออกตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 147 วรรคสาม ระบุว่าคู่ความหากยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีนั้น ให้ออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด แสดงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คดีนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว แต่ต่อมาโจทก์ได้มีการอุทธรณ์คดี จึงถือว่าคดียังไม่ถึงที่สุด การที่ศาลชั้นต้นออกใบสำคัญให้ตามขอ จึงเป็นการหลงผิด ซึ่งคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับจำคุกจำเลย 7 ปี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือสั่งแก้ไขตามที่เห็นสมควรได้ตาม ป.วิ แพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลพิจารณายกโทษที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 7 ปีนั้น เห็นว่าจำเลยต้องใช้สิทธิฎีกาในคดีหลัก ซึ่งไม่ใช่ฎีกาในส่วนนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้
ภายหลังรับทราบคำสั่งแล้ว จ.ส.ต.เสวกได้สอบถามต่อหน้าศาลว่า ในคดีหลักตนได้ยื่นฎีกา แต่ได้ถอนฎีกาแล้ว ดังนั้นจะสามารถยื่นคำร้องขอใบสำคัญคดีถึงที่สุดใหม่ได้หรือไม่ ศาลได้ชี้แจงว่าหากจำเลยมั่นใจว่าอัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกาก็สามารถยื่นคำร้องขอใบสำคัญคดีถึงที่สุดได้
ต่อมา จ.ส.ต.เสวก จำเลยที่ 7 เปิดเผยว่า ในคดีที่เกี่ยวกับเพชรซาอุฯ นั้น ตนมีคดีนี้เพียงคดีเดียว โดยศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง ต่อมาเมื่อครบกำหนดอุทธรณ์ภายในระยะเวลา 30 วัน ตนจึงได้ขอให้ศาลออกใบสำคัญคดีถึงที่สิ้นสุด และนำใบดังกล่าวไปยื่นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอคืนเงินและยศตำแหน่งรวมเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว แต่อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์โดยที่ตนไม่ทราบเรื่อง ทั้งที่ตนได้รับใบสำคัญคดีถึงที่สิ้นสุดจากศาลแล้วเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2550 ทั้งนี้ แม้ว่าศาลจะออกโดยผิดหลง แต่ตนก็ยังข้องใจว่าทำไมอัยการยื่นอุทธรณ์แต่กลับไม่มีการแจ้งมายังตน พอมารู้ตัวอีกครั้งก็ได้รับใบแจ้งอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2554 จึงได้ให้ทนายความแก้อุทธรณ์ไป ซึ่งในคดีดังกล่าวตนต่อสู้มายาวนานกว่า 20 ปี อย่างไรก็ตาม ตนคงไม่ยื่นฎีกาในคดีหลักแล้ว และคงยอมรับสภาพในเรือนจำซึ่งในขณะนี้ตนก็ได้เป็นนักโทษชั้นดีเพื่อรอวันคืนสู่อิสรภาพ ส่วนจำเลยร่วมคนอื่นๆ ในคดีนี้ก็ได้รับปล่อยตัวหมดแล้ว
ด้านนายบุญเกียรติ อุดมแสวงโชค อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 กล่าวว่า กรณีการยื่นอุทธรณ์อาจจะยื่นอุทธรณ์ไม่ทันในระยะเวลากำหนด 30 วัน ซึ่งในช่วงรอยต่อดังกล่าว หากจำเลยยื่นขอคดีถึงที่สุดอาจทำให้เจ้าหน้าที่ศาลที่รับคำร้องขณะนั้นเข้าใจผิดได้ ขณะที่คดีดังกล่าวได้มีการยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปแล้ว กรณีดังกล่าวสุดท้ายแล้วต้องยึดคำพิพากษาของศาลเป็นหลัก แม้กรณีนี้จำเลยที่ 7 จะร้องขอเงินเดือนและยศคืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว แต่ก็เกิดจากความบริสุทธิ์ใจของจำเลยที่เข้าใจว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครเจตนากลั่นแกล้งใคร จำเลยต้องยอมรับสภาพที่ต้องมาพิจารณาว่าเงินที่ได้รับคืนไปเป็นลาภมิควรได้สามารถเรียกคืนได้บางส่วน หรือรัฐมีสิทธิเรียกคืนได้ทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้หลังจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับจำคุกจำเลยที่ 7 แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 7 ได้ยื่นฎีกาสู้คดี ขณะที่อัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกาเช่นกันในส่วนของจำเลยที่ 2, 5, 6-7 แต่ต่อมาจำเลยที่ 7 กลับยื่นถอนฎีกาเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2555 ดังนั้น ขณะนี้คดียักยอกเพชรซาอุจึงยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ในส่วนของจำเลยที่ 2, 5, 6-7 ที่โจทก์ได้ยื่นไว้ โดยปัจจุบันจำเลยที่ 7 ถูกจำคุกแล้ว 2 ปี 6 เดือน ส่วนนายชลอ เกิดเทศ เมื่ออัยการไมได้ยื่นฎีกา ทำให้คดีในส่วนของนายชลอถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำคุก 20 ปี โดยขณะนี้นายชะลอได้รับการพักโทษ และถึงปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2556 ภายหลังได้รับโทษจำคุกมาแล้วนานกว่า 19 ปี