นายทหารพระธรรมนูญรวบตัว “ผู้หมวดชู” พร้อมคนเก็บส่วยวิน จยย.รับจ้างชมรมวัดดอกไม้ ย่านบางโพงพาง แต่ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ อ้างย้ายไปสังกัด สน.ท่าเรือ และไม่เกี่ยวข้องกับเรียกเก็บผลประโยชน์
วันนี้ (23 ก.ค) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้เชิญตัว ร.ต.ท.บุญชู แสนธิ หรือ “หมวดชู” อายุ 43 ปี รอง สว.สส.สน.ท่าเรือ พร้อมทั้งควบคุมตัว นายอำพล ใจดี อายุ 48 ปี และนายอุทัย สุวิมาศย์ อายุ 32 ปี ที่บริเวณวินจักรยานยนต์รับจ้างชมรมวัดดอกไม้ ซอยสาธุประดิษฐ์ 58 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. มาส่งมอบให้ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้รับร้องเรียนจากลูกวินจักรยานยนต์รับจ้าง “ชมรมวัดดอกไม้” ว่านายอำพล และนายอุทัยมีพฤติการณ์เรียกเก็บค่าคุ้มครองและค่าเสื้อวินเป็นเงิน 600 บาทต่อคนต่อเดือน โดยนายอำพลเรียกเก็บเงินจากลูกวิน 9 ราย ส่วนนายอุทัยเรียกเก็บเงินจากลูกวินทั้งหมด 15 ราย พร้อมกันนั้น กลุ่มวินจักรยานยนต์รับจ้างดังกล่าวยังซัดทอดถึง ร.ต.ท.บุญชู อดีตตำรวจสายตรวจ สน.บางโพงพาง ก่อนย้ายไปสังกัด สน.ท่าเรือ โดยระบุว่าเป็นผู้ดูแลวินจักรยานยนต์รับจ้างแห่งนี้ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนจะเข้าควบคุมตัวนายอำพลกับนายอุทัย และเชิญตัว ร.ต.ท.บุญชูมาสอบสวนที่ บก.ป.ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับพฤติการณ์ของทั้งหมดเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยประพฤติตนเป็นผู้มีอิทธิพล เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองวินจักรยานยนต์รับจ้าง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ โดยยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพียงแต่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน ในส่วน ร.ต.ท.บุญชูได้มีการทำหนังสือแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบแล้ว
ด้าน ร.ต.ท.บุญชูกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนขอปฏิเสธเพราะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวินดังกล่าวตั้งนานแล้วนับตั้งแต่มีประกาศ คสช. นอกจากนี้ได้ย้ายสังกัดมาอยู่ที่ สน.ท่าเรือ 2 ปีแล้ว เพียงแต่ตนรู้จักและสนิทสนมกับพวกน้องๆ วินนี้ เพราะเคยขอความร่วมมือในเรื่องงานสมัยที่ตนเคยเข้าเวรประจำป้อมตำรวจ วินก็อยู่ตรงข้ามกัน และเคยทำหน้าที่สายตรวจ สน.บางโพงพางมาเป็นเวลา 20 ปี ที่ผ่านมาก็จะพึ่งพาอาศัยกันกับลูกวินแห่งนี้ ดูแลกัน ดื่มสุราด้วยกัน ออกเงินซื้อบุหรี่ ซื้อของกิน มีอะไรพังหรือเสียหายก็ซ่อมแซม รวมทั้งซื้อทีวีมาให้ดูเพื่อความผ่อนคลาย
ร.ต.ท.บุญชูกล่าวอีกว่า หลังจากที่ย้ายไปสังกัด สน.ท่าเรือ ตนก็ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเยียนที่วินแล้ว นานๆ จึงจะแวะไปสักครั้งยังเคยบอกว่าต้องดูแลกันเองนะ เพราะว่าตนไม่ได้อยู่ช่วยดูแลแล้ว เขามีให้ขึ้นทะเบียนก็ไปขึ้นทะเบียนกันให้ถูกต้อง จากที่เคยช่วยเหลือดูแล เช่น เวลาเขาถูกใบสั่ง ก็จะมาขอให้ตนช่วย ถ้าสมัยก่อนก็ช่วยเหลือกันได้ เขาก็นับถือตนเป็นลูกพี่ แต่ขณะนี้ก็ไม่ได้ทำ จะมีก็แต่เขาโทรศัพท์มาหาบ้างเวลาต้องการอะไรที่คิดว่าเราจะช่วยเหลือได้
“ที่ผ่านมาไม่ทราบเรื่องว่ามีใครไปร้องเรียนและกล่าวหาผมว่าเรียกรับเงิน จะมีก็แต่ทั้ง นายอำพล และนายอุทัย จะบอกว่ามีผมเป็นลูกพี่ จะอ้างถึงผู้หมวดก็คือผม อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รู้ว่าที่วินนี้มีการเรียกเก็บเงินแต่ก็เอามาใช้จ่ายในวิน และซื้อสุราอาหารมากินมาเลี้ยงกันอย่างนั้นมากกว่าแต่ก็ยินดีให้ความร่วมมือเมื่อถูกซัดทอดก็จะได้ชี้แจงด้วย” ร.ต.ท.บุญชูกล่าว
ด้านนายอำพลกล่าวว่า ไม่ใช่หัวหน้าวินแห่งนี้ เป็นเพียงคนดูแลความเรียบร้อยของวิน เนื่องจากมีการตั้งเป็นชมรมวินจักรยานยนต์วัดดอกไม้ขึ้นมา และเคยไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเขตมาตั้งแต่สมัยแรกที่เปิดให้มีการลงทะเบียนผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างและได้เสื้อวินสีส้มมาใช้ โดยวินดังกล่าวเปิดบริการมานานหลายปีแล้ว ยืนยันว่า เงินที่ได้รับมานั้นได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในวิน ไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งหมด ที่สำคัญตนจะเก็บจากลูกวินซึ่งไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้องแล้วอยากจะมาขับรถหาเงิน ก็จะนำเสื้อวินจากลูกวินรายอื่นมาให้
ขณะที่นายอุทัยกล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นคนเรียกเก็บเงินจากลูกวินจริง แต่ได้นำไว้เป็นค่าใช้จ่ายและส่งให้กับลูกพี่ โดยจะเก็บเงินกันทุกสิ้นเดือนได้ยอดรวม 9,000 บาท จากลูกวินที่ดูแล 15 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจับกุมมาเฟียคุมวินจักรยานยนต์รับจ้าง และมีการเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองและค่าเสื้อวินนั้น ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องซึ่งทาง ร.ต.ท.บุญชู ที่ถูกเชิญตัวมาสอบสวนครั้งนี้นับเป็นรายแรกที่มีการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ โดยทางทหารจะปล่อยให้เป็นอำนาจในการพิจารณาของทาง บก.ป.พร้อมกับรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ โดยเบื้องต้นจะมีการกักตัวไว้เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นหากทางทหารจะแจ้งความดำเนินคดีก็จะทำหนังสือร้องทุกข์มาอีกครั้ง