ศาลพิพากษาประหารชีวิต 4 พี่น้องชาวเขาเผ่ามูเซอ ลอบขนยาบ้า 6 แสนเม็ด มูลค่า 60 ล้านบาท เตรียมส่งให้เอเยนต์ จ.เชียงใหม่ ชี้เป็นกระบวนการแบ่งหน้าที่กันทำ สารภาพ 2 ราย เหลือติดคุกตลอดชีวิต ส่วนอีก 2 รายคงประหารชีวิต
ที่ห้องพิจารณา 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (16 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดียาเสพติด หมายเลขดำ อย.7761/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสำราญ แสนหลวง อายุ 49 ปี, นายพงศภัค เรืองกิจสุวรรณ อายุ 43 ปี, นายสมยศ เล่าหมี่ อายุ 44 ปี และ นายนพพร พนาศรีสมบูรณ์ อายุ 24 ปี ทั้งหมดเป็นชาวเขาเผ่ามูเซอ ภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ตามลำดับ ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต, สมคบกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ
โจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 - 13 ก.ย. 2555 ต่อเนื่องกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ด้าน จ.เชียงราย มาส่งให้เอเยนต์ ที่ จ.เชียงใหม่ โดยใช้เส้นทาง ถ.สายพร้าว - เวียงป่าเป้า อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จากนั้นจึงตั้งด่านตรวจค้น พบรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 2 คัน ขับแล่นตามกันมา โดยคันแรกมีจำเลยที่ 1 และ 2 นั่งมา ส่วนคันที่สอง มีจำเลยที่ 3 และ 4 นั่งมา และจากการตรวจบัตรประจำตัวพบว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งจำเลยที่ 2 และ 4 เป็นพี่น้องมีบิดา - มารดาเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 3 มีศักดิ์เป็นน้องเขยของจำเลยที่ 2 และเป็นพี่เขยของจำเลยที่ 4 เมื่อตรวจค้นรถกระบะคันแรกไม่พบสิงผิดกฎหมาย แต่รถกระบะคันที่ 2 พบเป้สีเขียว 6 บรรจุยาบ้าใบละ 1 แสนเม็ด รวม 6 แสนเม็ด มูลค่า 60 ล้านบาท วางซุกซ่อนอยู่ด้านล่างกระสอบใส่มูลไก่เต็มกระบะ จึงนำตัวทั้งหมดพร้อมของกลางหลายรายการ เช่น ยาเสพติด, โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง ส่งให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่า เดินทางกลับมาจากช่วยงานศพ ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 3 และ 4 มาก่อน ส่วนจำเลยที่ 3, 4 ให้การรับสารภาพตลอดว่า กำลังจะนำยาบ้าไปส่งให้เอเยนต์ที่ รพ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ โดยจะได้รับค่าจ้างจำนวน 5 แสนบาท
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานเห็นว่า จำเลยที่ 1 และ 2 มีหน้าที่ขับรถนำทาง สำรวจเส้นทางและด่านตรวจ โดยจำเลยที่ 3, 4 มีหน้าที่ขับรถลำเลียงยาเสพติด ซึ่งจำเลยที่ 1และ2 โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 3, 4 ทราบตลอดเส้นทาง การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นกระบวนการและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้พ้นการจับกุม ข้ออ้างของจำเลยที่ 1, 2 ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม และ 102, พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 3, 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือจำคุกจำเลยทั้งสองไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 พิพากษาให้ประหารชีวิตสถานเดียว และริบของกลาง