ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษ มือจ้างฆ่าแกนนำต้าน “บ่อขยะราชาเทวะ” จากประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิต เหตุให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ส่วนคนขี่ จยย.ให้มือปืน คงยืนจำคุกตลอดชีวิต
วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญานัดคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และนายนครินทร์ วงศ์ปิยะสถิตย์ กับนายกฤษฎ์ วงศ์ปิยะสถิตย์ บุตรชายของนางธีรนุช วนะโพธิ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.อ.สมเกียรติ์ หรือเกียรติศักดิ์ หรือจ่าศักดิ์ คงคามี อดีตทหารศูนย์การบินทหารบก จำเลยที่ 1 ผู้ติดต่อหามือปืน, นายเสรี หรือเล็ก กล่ำฉนวน มือปืนจำเลยที่ 2, นายประจักษ์ หรือจักร สินพรม ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ก่อเหตุ จำเลยที่ 3, นายสมยุทธ หรือปุ๊ พุ่มภักดี อดีตสมาชิก อบต.ราชาเทวะ จำเลยที่ 4 ผู้จ้างวาน และนายสมชาย หรือหลุบ ยอดย้อย จำเลยที่ 5 ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่น และกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ กรณีร่วมกันฆ่านายสุวัฒน์ วงศ์ปิยะสถิตย์ แกนนำต่อต้านบ่อกำจัดขยะ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2544
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 และ 5 ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ขณะที่ ส.อ.สมเกียรติ จำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่เรือนจำบางขวาง มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าได้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2553 ส่วนนายเสรี จำเลยที่ 2 ถูกย้ายไปเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษในส่วนจำเลยที่ 5 เนื่องจากพฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนกระทำ มิใช่เป็นตัวการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 86 คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 5 ไว้ทั้งสิ้น 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2-3 พิพากษายืนใจำคุกตลอดชีวิต และให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 4 สถานเดียว ต่อมาจำเลยจำเลยที่ 3 และ 4 ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานเป็นเจ้าของร้านของชำในหมู่บ้านและพยานแวดล้อมเบิกความทำนองเดียวกันว่า เห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนแปลกหน้านั่งอยู่ร้ายก๋วยเตี๋ยวใกล้ๆ หมู่บ้าน จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ เห็นลักษณะจำเลยที่ 3 ไว้หนวดไว้เครามีรูปร่างผอมสูง จึงเชื่อว่าพยานจดจำลักษณะของจำเลยได้ชัดเจน ประกอบกับผลการตรวจลายนิ้วมือแฝงที่ได้จากหมวกกันน็อคของกลาง ตรงผลลายนิ้วมือของจำเลยที่ 3 รวมทั้งจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น โจทก์มีนายนุกูล ธนาการณ์ ผู้ต้องหาร่วมที่เป็นพยานเบิกความซัดทอดว่าจำเลยที่ 4 จ้างวานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักโทษแหกคุกและเป็นลูกน้องเก่า เป็นผู้จัดหามือปืน จำเลยที่ 1 จึงได้ติดต่อกับจำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นมือปืนเพื่อลงมือก่อเหตุ โดยพยานได้เบิกความเป็นลำดับขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผล อีกทั้งพยานที่เบิกความไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 และ 3 ก่อเหตุยิงผู้ตาย จึงเชื่อว่ามีการจ้างวานจริง โดยจำเลยที่ 4 มีความขัดแย้งกับผู้ตายซึ่งเป็นแกนนำต่อต้านการก่อสร้างบ่อขยะราชาเทวะ ถึงขั้นมีข่าวลือว่าจะมีการสั่งเก็บผู้ตาย โดยจำเลยที่ 1 ได้จ้างให้จำเลยที่ 2 และ 3 ดำเนินการแทน คำเบิกความของพยานไม่มีพิรุธ รวมทั้งจำเลยที่ 1,2,3 และ 4 ให้การรับสารภาพ พิเคราะห์ประกอบคำเบิกความแล้วรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้ตายจริง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ พิพากษาแก้ ให้ลดโทษจำเลยที่ 4 เหลือ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
นางธีรนุช วนะโพธิ์ ภรรยาของนายสุวัฒน์ วงศ์ปิยะสถิตย์ แกนนำต่อต้านบ่อกำจัดขยะ ต.ราชาเทวะ โจทก์ร่วม กล่าวว่า หลังจากสามีตายตั้งแต่ปี 2544 ตนก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งมีบุตร 2 คน โดยประกอบธุรกิจส่วนตัว ที่ผ่านมาตนกับครอบครัวก็ยังอยู่ในพื้นที่ ต.ราชาเทวะ ไม่ได้ย้ายไปไหน โดยไม่มีความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าญาติของนายสมยุทธ จำเลยที่ 4 ยังคงอยู่ในพื้นที่แต่เราก็ไม่ข้องเกี่ยวกัน ส่วนที่ศาลฎีกาเห็นว่านายสมยุทธผู้จ้างวานฆ่า จำเลยที่ 4 ที่ศาลฎีกาลดโทษหลือจำคุกตลอดชีวิต ตนก็ยอมรับในคำพิพากษาเพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจำเลยไม่เคยมาขอขมาหรือแสดงความสำนึกในความผิดกับตนและครอบครัว โดยได้ยึดหลักพุทธศาสนาที่จะไม่คิดแก้แค้นกับจำเลย เพราะการที่เขาถูกจำคุกจากเดิมที่เคยมีอิสรภาพแล้วกลายเป็นคนที่ไม่มีอิสรภาพถูกคุมขังในเรือนจำมานานกว่า 10 ปี ก็ถือว่าได้รับกรรมที่กระทำแล้ว ส่วนที่ศาลฎีกาพิพากษาอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องยอมรับ