แท็กซี่ชนนักข่าวอัลญะซีเราะห์ดับคาล้อรถ ปอ.

แท็กซี่สีชมพูพุ่งชนนักข่าวอัลญะซีเราะห์ขณะวิ่งข้ามถนนใต้สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต จนร่างกระเด็นไปติดอยู่ใต้ล้อด้านหลังรถโดยสารประจำทาง ปอ.511 เสียชีวิต

วันนี้ (5 มิ.ย.) ร.ต.ท.สุรศักดิ์ สังข์แก้ว พงส.สน.ลุมพินี ได้รับแจ้งเหตุมีชายถูกรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุพบร่างนายเมธี มุขตารี อาย 34 ปี นักข่าวช่องไวท์ชาแนล และอัลญะซีเราะห์ ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บกระเด็นไปติดอยู่ใต้ล้อด้านหลังรถโดยสารประจำทาง ปอ.511 วิ่งระหว่างสายใต้ใหม่-ปากน้ำ ทะเบียน 13-0965 กรุงเทพมหานคร บริเวณถนน 6 เลนขาออกมุ่งหน้าแยกนานาซึ่งมี 3 ช่องทาง และเปิดเป็นช่องทางสวนสำหรับรถขาเข้าใช้สัญจร 2 ช่องทางและเป็นเลนสำหรับรถ ทางเจ้าหน้าที่นำตัวส่ง รพ.ตำรวจ โดยมีนายสุพัฒน์ ผกากอง อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ต.บัวคำ อ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด คนขับรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทษ 2398 กทม.ยืนรอมอบตัว

ภายหลังนายเมธีได้เข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลตำรวจ มีบาดแผลที่ศีรษะยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และมีสมองไหลออกมา แพทย์จึงไม่สามารถวัดความดันและชีพจรคนไข้ แต่ได้ทำการปั๊มหัวใจและช่วยชีวิตนานกว่า 30 นาที ก่อนที่คนไข้จะเสียชีวิต ต่อมาแพทย์นิติวิทยาศาสตร์เปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิตหลังผ่าพิสูจน์ ระบุว่ากะโหลกศีรษะผู้ตายแตกร้าวมีเนื้อสมองไหล ถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก

นางศันสนีย์ นิซู อายุ 32 ปี ภรรยาของนายเมธีกล่าวว่า นายเมธีทำงานสื่อให้กับช่องไวท์ชาแนล สื่อมุสลิม และทางอัลญะซีเราะห์ได้จ้างให้ทำงานติดตามข่าวการเมืองไทย โดยทำงานได้ 10 กว่าวัน ก่อนเกิดเหตุได้กลับมาจากการทำข่าวและแยกย้ายกับต้นสังกัดซึ่งพักอยู่ย่านเพลินจิตและกำลังจะข้ามถนนกลับบ้านที่ย่านมีนบุรี ปรากฏว่าถูกแท็กซี่คันดังกล่าวพุ่งชนอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปอยู่ใต้รถเมล์และเสียชีวิตในเวลาต่อมา วันนี้ทางพ่อของนายเมธีจะไปรับศพที่ รพ.ตำรวจ ก่อนจะนำศพไปทำพิธีละหมาดและฝังศพในช่วงเย็นวันนี้ที่มัสยิดอัลอะติ๊ก ถนนเจริญกรุง ซอย 103

ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. นายสุพัฒน์ ผกากอง อายุ 43 ปี คนขับรถแท็กซี่คันก่อเหตุ และนายโสดา บุตรมหา อายุ 56 ปี พนักงานขับรถโดยสาร ขสมก.สาย 511 ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม

นายสุพัฒน์ให้การว่า ระหว่างที่ตนกำลังขับรถแท็กซี่มาจากนานามุ่งหน้าเพลินจิต มีผู้โดยสารนั่งมาภายในรถด้วย เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุบริเวณใต้สถานีบีทีเอสเพลินจิตเห็นผู้ตายวิ่งข้ามมาจากเกาะกลางถนนในระยะกระชั้นชิดตนไม่สามารถเบรกทัน ประกอบกับบริเวณดังกล่าวนั้นมีแสงสว่างน้อยจึงทำให้พุ่งชนผู้ตายเข้าอย่างจัง ในส่วนของความเร็วนั้นตนขับอยู่ที่ประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายหลังจากเกิดเหตุนั้นตนไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด สำหรับในวันนี้ตนได้เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมต่อ ร.ต.ท.สุรศักดิ์ สังข์แก้ว พงส.สน.ลุมพินี ถึงช่วงขณะเกิดเหตุดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้ง

นายสุพัฒน์กล่าวทั้งน้ำตาว่า หลังเกิดเหตุทราบข่าวว่านายเมธีเสียชีวิต ตนเสียใจและพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากเตือนไปยังผู้ที่สัญจรผ่านไปมาให้ใช้ความระมัดระวังในการข้ามถนน ทั้งนี้อยากจะฝากขอโทษไปยังครอบครัวของผู้ตายว่าตนนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อเหตุดังกล่าว ตนประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่มาแล้ว 18 ปี ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ภายหลังจากเกิดเหตุนั้นทำให้ตนไม่สามารถนอนหลับได้ลงเต็มตา

นายโสดากล่าวว่า ขณะจอดรับส่งผู้โดยสารบริเวณจุดที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงดังคล้ายรถชนสิ่งของบางอย่างก่อนที่จะได้ยินผู้โดยสารตะโกนบอกว่ามีคนถูกรถชน เมื่อลงมาดูพบผู้เสียชีวิตอยู่ที่บริเวณล้อด้านหลัง ยังไม่เสียชีวิต จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือ โดยขณะเกิดเหตุไม่เห็นขณะที่รถแท็กซี่ชน แต่จุดดังกล่าวเป็นเกาะกลางถนนที่มีลวดสลิงไม่ให้คนข้าม และมีตอม่อรถไฟฟ้าอยู่เกาะกลางถนน คาดว่าผู้เสียชีวิตจะวิ่งออกมาทำให้ถูกชน

ด้าน ร.ต.ท.สุรศักดิ์กล่าวว่า เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อนายสุพัฒน์ โดยเชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นความประมาทร่วมทั้งคนขับรถแท็กซี่และผู้เสียชีวิต เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเลนรถวิ่งสวนทางจากแยกนานามุ่งหน้าแยกเพลินจิต ผู้เสียชีวิตอาจไม่คุ้นเส้นทางทำให้เข้าใจว่าถนนเป็นรถวิ่งทางเดียวจึงไม่ทันสังเกตรถที่วิ่งสวนมา ในส่วนของพนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ ขสมก. สาย 511 ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหา เนื่องจากได้สอบปากคำแล้วและพยานที่เป็นผู้โดยสารแล้วรถจอดรับส่งผู้โดยสารอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง