สน.พระอาทิตย์
กลายเป็นประเด็นฮือฮาภายในรั้ว “กรมปทุมวัน” คำสั่ง “ผบ.อู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพสีกากี แจ้งถึงพล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.)
ให้ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ อรุณศรีโสภณ ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 3 (ผบก.ตม.3) และ พ.ต.อ.ธีระชัย เด็ดขาด ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว (ผกก.ตม.สระแก้ว) มาปฏิบัติราชการ ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ตั้งแต่เวลา 16.00 น. วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป โดยขาดจากต้นสังกัดจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ถือเป็นคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ ที่ดุเดือด เฉียบขาดแบบไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก โดยเฉพาะกับตำรวจในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระดับ “นายพล” ที่จะโดนเด้งเข้ากรุเช่นนี้
ส่วนใหญ่ที่เห็นเหล่าบรรดา “นายพล” มักจะ “โดนหิ้ว” ตามคำนิยามที่ พล.ต.อ.อดุลย์ นำมาใช้ในการย้ายตำรวจที่มีความบกพร่องในการทำงาน ล้วนเป็นตำรวจท้องที่ซึ่งมีความผิดชัดเจน อย่างกรณี พล.ต.ต.รัษฎากร ยิ่งยง ผบก.น.8 โดนมาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. หลังตำรวจกองปราบปรามลงจับตู้ม้าตู้ลูกแก้ว พื้นที่สังกัดบก.น.8 หรือย่านฝั่งธนฯหลายจุด
ที่สำคัญความไม่ธรรมดาของคำสั่งเด้งระดับ “ผู้การฯ ตม.” และ “ผู้กำกับฯด่าน” ครั้งนี้ เมื่อเช็กชื่อเช็กประวัติ นายตำรวจทั้ง 2 รายล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดโดยตรงกับ พล.ต.อ.อดุลย์ เองด้วย
โดยรายแรก “บิ๊กหรั่ง” พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นรต.29 เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ.อดุลย์ และไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ถือเป็น “เพื่อนสนิท” ลำดับต้นๆ ในรุ่นส่วนราย พ.ต.อ.ธีระชัย ก็เคยเป็นถึงอดีตนายเวร พล.ต.อ.อดุลย์ เช่นกัน
มิหนำซ้ำพลันที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ออกคำสั่งเด้ง “เพื่อนรัก” และ “ลูกน้องคนสนิท” เพียงวันเดียว รุ่งขึ้นวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.อดุลย์ ก็เดินทางไปตรวจราชการที่ บก.ภ.จว.สระแก้ว และด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) บ้านคลองลึก หรือด่าน ตม.สระแก้ว ทันที
พร้อมกับมีรายงานว่าในการตรวจการทำงานครั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ เน้นย้ำ ตม.อรัญประเทศ เรื่องการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและความสะอาด รวมทั้งเน้นย้ำให้ ตม.จว.สระแก้ว สกัดกั้นการหลบหนีเข้าเมืองอย่างเข้มงวด
แม้คำสั่งฟ้าผ่า! เด้ง พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ และ พ.ต.อ.ธีระชัย เข้ากรุ มานั่งตบยุง พัฒนาการทำงานใหม่ใน ปก.ตร.ตามนโยบาย พล.ต.อ.อดุลย์ จะไม่มีเหตุผลประกอบที่ชัดเจนว่ามีข้อบกพร่องประการใดมีเพียงกระแสข่าวเบื้องต้นว่า
น่าจะมาจากกรณีที่มีการปล่อยปละละเลยให้มีคนต่างด้าวผิดกฎหมายผ่านเข้ามาทางด่าน ตม.สระแก้ว เป็นจำนวนมาก ซึ่งขัดกับนโยบายการปราบปรามค้ามนุษย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เชื่อมโยงเรื่อง “ผลประโยชน์” ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กัน ซึ่งอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับการย้ายนายตำรวจทั้ง 2 นายของ พล.ต.อ.อดุลย์ ครั้งนี้ หรือไม่ เป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.อดุลย์ รู้อยู่แก่ใจและอยู่ที่การสอบสวนข้อเท็จจริงว่า การทำงานบกพร่องของทั้งคู่จนต้องถูกเด้งเข้ากรุ บกพร่องมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
ตามหน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง www.immigration.go.th อธิบายอำนาจหน้าที่ไว้ว่าสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง 1. เป็นฝ่ายอำนวยการด้านยุทธศาสตร์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการวางแผนควบคุม ตรวจสอบ ให้คำแนะนำและเสนอแนะการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานในสังกัด
2. ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาทั่วราชอาณาจักร และ 3. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมาย
ต้องยอมรับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. เป็นกองบัญชาการระดับเกรดเอกองบัญชาการหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะทำงานเกี่ยวกับการการเข้าออกประเทศของทั้งคนไทยและคนต่างชาติซึ่งงานเอกสารเหล่านี้ก็เป็นช่องทางให้ “ตม.นอกรีต” หากินหาผลประโยชน์
ก่อนที่ พล.ต.อ.อดุลย์ จะมีคำสั่งเด้งคนใกล้ชิดเข้ากรุมานั่งตบยุงใกล้ๆ กัน คอลัมน์เกี่ยวกับแวดวงตำรวจ ก็มีเขียนถึงพฤติกรรมตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไว้หลายครั้ง อีกเรื่องด่านเดียวกันนโยบายของผู้บังคับบัญชาให้คุมเข้มการเข้าออกของ “ชาวเกาหลี” แต่เจ้าหน้าที่บางคนไม่สน “หัวหมอ” ใช้กลยุทธ์เทคนิคประชาสัมพันธ์ ซึ่งสิ่งตอบแทนที่ได้ “อิ่มท้องพุงกาง” ตั้งข้อสังเกต “หัวหน้าด่าน” รู้บ้างหรือไม่ แต่ “สะใภ้กิมจิ” คงไม่ยอมตายเดี่ยวซัดทอดวงจรอุบาทว์แล้วน่าติดตามที่มาที่ไปของ “บ้านทรายทอง” เบื้องหลังค่อนข้างอัปยศ..”
หรือ “.. กลิ่นไม่ค่อยดีภายในด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านใหญ่ใกล้แนวชายแดนกาสิโนประเทศเพื่อนบ้าน “บ้านทรายทอง” ถูกสร้างตกแต่งอย่างดีเตรียมให้บริการ “ชาวต่างชาติ” ยื่นเอกสารขออยู่ต่อภายในราชอาณาจักรไทย “นายพันไม่เปลี่ยนแปลง” ใช้สารพัดวิธีเจรจากับ “นายคนเล็ก” อ้างเหตุผลขอเพิ่มหมุนเวียนกำลังพล เบื้องหลังคนสีเดียวกันระดับล่างรู้ไส้รู้พุงต้องการ “ชิงเอเยนต์” ให้ติดสอยห้อยตามหากมาเยอะได้ประโยชน์ ฉาวล่าสุดเว็บไซต์บางแห่งโฆษณาสนนราคาเสร็จสรรพด่านนี้เป็นด่านเดียวที่รับการตรวจลงตรา “ชาวกิมจิ” ถือว่าเป็นการท้าทายไม่สนองนโยบายผู้บังคับบัญชา หรือคิดว่า “นายคนใหญ่” ใกล้เกษียณเชื่อลมปาก เพราะถนัดเรื่องดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่นจริงหรือไม่...”
นอกจากนี้ ภายในกรมปทุมวันยังมีเสียงวิจารณ์หึ่งถึงพฤติกรรมนายพลคนหนึ่งในทำนองตั้งแต่ไปรับตำแหน่งก็ไล่บี้ลูกน้องให้ส่งยอดเงินรายเดือนและส่งไม่ส่งเปล่ายังสั่งเพิ่มยอดคูณ 2 จากเดิมเข้าไปอีก
เรื่องแดงไปเข้าหูผู้มีอำนาจ ก็เพราะดันไปบี้จุดที่มี “สารวัตร” ลูกชายเพื่อนผู้มีอำนาจและเคยอยู่กับผู้มีอำนาจไปเป็นหัวหน้าจุดอยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงซึ่งสารวัตรรายนี้ก็ไม่รู้ว่าต้องส่งเพราะเห็นเป็นคนกันเอง พอไม่ส่งก็โดนตามบี้จนต้องยอมส่ง แต่เมื่อส่งให้แล้วก็ไม่พอใจ นายพลรายนั้นยังโทร. กลับมาด่าว่าส่งน้อยเกินจริงความอัดอั้นตันใจของสารวัตรจุดนั้นเลยต้องเล่าให้พ่อฟัง เรื่องจากลูกสู่พ่อจากพ่อก็เลยไปเล่าต่อให้เพื่อนผู้มีอำนาจฟังในวงข้าวว่าเอากันถึงขนาดนี้เชียวหรือ ความก็เลยแตก เรื่องก็เลย...เอวัง
แต่เรื่องที่เมาธ์กันจะเกี่ยวข้องกับการลุกขึ้นมา “กวาดบ้าน” ของ พล.ต.อ.อดุลย์ ครั้งนี้หรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์ ย่อมรู้อยู่แก่ใจกระนั้นการทำสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม ใครผิดว่าไปตามผิด ใครถูกว่าไปตามถูกก็น่าจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ตำรวจให้ดีขึ้นได้บ้าง
ถ้าจะให้ดีถือโอกาส “ล้างบาง” ครั้งใหญ่เลยก็น่าจะดีไม่น้อย