xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกายืนจำคุก “กลม บางกรวย” โกงหวยล็อก-ซ่องโจร รวม 6 ปี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ฎีกายืนจำคุก “กลม บางกรวย” คดีโกงหวยล็อก เป็นเวลา 6 ปี และให้ออกหมายจับมารับโทษ ระบุทำให้ สนง.สลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐได้รับความเสียหาย

ที่ห้องพิจารณา 611 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (28 ต.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหวยล็อก ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมตระกูล จอบกระโทก, พ.อ.อ.กิตติชาติ กุลประดิษฐ์, นายณรงค์ อุ่นแพทย์ หรือกลม บางกรวย ผู้กว้างขวางย่านบางกรวย, นายสุริยัน ดวงแก้ว หรือผู้ใหญ่หมึก และนายพิชัย เทพอารักษ์ หรือชัย โคกสำโรง ผู้กว้างขวาง จ.ลพบุรี เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และซ่องโจร

ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 2542 -10 พ.ย. 2544 จำเลยทั้งห้ากับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันทุจริตด้วยการเกณฑ์คนเข้าไปรับชมการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 มิ.ย. 2544 โดยพฤติการณ์จำเลยได้บ้วนของเหลวที่อมอยู่ในปากลงในภาชนะ พลาสติกทรงกลม แล้วเลือกตักลูกบอลหมายเลข 1 ซึ่งมีคราบสีขาวติดอยู่ ทำให้ผลการออกสลากรางวัลที่ 1 เป็นเลขที่ออกคือ 113311

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2547 เห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยเป็นความผิดต่อสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ที่จะต้องปฏิบัติออกสลากด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทำให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือ สร้างความเสียหายโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม พิพากษาจำคุกพวกจำเลยฐานฉ้อโกง 2 ปี และฐานซ่องโจร 4 ปี รวมจำคุกจำเลยคนละ 6 ปี ต่อมาจำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2549 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุกเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์เป็นเวลา 2 ปี

ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษนายพิชัยจำเลยที่ 5 ในความผิดฐานซ่องโจรด้วยขณะที่จำเลยที่ 1,3-5 ได้ยื่นฎีกาต่อสู้คดีซึ่งนายพิชัย จำเลยที่ 5 ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบาและรอลงอาญา

โดยวันนี้เมื่อถึงเวลานัด ปรากฏว่ามีเพียงนายสมตระกูล จำเลยที่ 1 และนายพิชัย จำเลยที่ 5 เดินทางมาศาล ส่วนนายณรงค์ หรือกลม บางกรวย จำเลยที่ 3 และนายสุริยัน จำเลยที่ 4 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ออกหมายจับไปแล้ว ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 3 และ 4

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุวันที่ 1 มิ.ย. 2544 จำเลยที่ 1, 2 และนายทองสุก ชนะกาลี และพวกที่ยังหลบหนีได้เข้าไปรับชมการออกสลากโดยเมื่อถึงเวลาเลือกประชาชนขึ้นไปเป็นกรรมการร่วมตักลูกบอลเพื่อออกสลากจำเลยที่1,2 และนายทองสุก ได้นำต้นขั้วบัตรของผู้ที่มีสิทธิขึ้นไปเป็นกรรมการบนเวทีเพื่อร่วมตักลูกบอล โดยเมื่อถึงเวลาก็ได้ตักลูกบอล หมายเลข 1 ในหลักหน่วยและหลักสิบ ซึ่งพวกจำเลยยืนเป็นกรรมการตักลูกบอลอยู่

ซึ่งชั้นพิจารณาโจทก์มีทั้งพยานซึ่งได้ร่วมประชุมกับจำเลยที่ 1, 2 และพวก ในการวางแผนและซักซ้อมการตักลูกบอลที่ไร่กุสุมารีสอร์ท จังหวัดสระบุรี และผู้ที่มีชื่อบนบัตรซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเป็นกรรมการตักลูกบอล รวมทั้งพนักงานต้อนรับไร่กุสุมา เบิกความว่าว่าก่อนเกิดเหตุได้มีการจองห้องพักเพื่อร่วมกันซักซ้อมวิธีการตักลูกบอลโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 รวมอยู่กับพวกประมาณ 15 คน ซึ่งหลังจากซักซ้อมวิธีการอมและกัดหลอดพลาสติกที่มีสารเคมีภายในปาก ก็พบเศษหลอดพลาสติกและคราบสีขาวภายในห้องพัก นอกจากนี้ก่อนที่จะไปร่วมชมการออกสลากในวันเกิดเหตุยังได้มีการนัดรวมตัวของผู้ที่จะเข้าการร่วมชมการออกสลากร่วมร้อยคนที่ห้องประชุมโรงแรมใกล้สำนักงานสลากฯ ซึ่งมีผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง วินของจำเลยที่ 3 เบิกความว่า ก็ได้รับการติดต่อให้เข้าร่วมชมการออกสลากรางวัลโดยได้ค่าจ้าง 200 บาท ซึ่งจำเลยที่ 3 จะหักจากค่าเช่าวินวันละ100 บาทรวม 2 วัน ขณะที่ทางสอบสวน พนักงานสอบสวนยังพบว่าในการออกสลากรางวัลของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) งวดวันที่ 10 ม.ค. 2544 ยังพบจำเลยที่ 1, 2 กับพวก ร่วมในการชมการออกสลากรางวัล ซึ่งปรากฏตามเอกสารภาพถ่าย ถึงแม้ไม่มีพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 3, 4 ร่วมอยู่ในวันเกิดเหตุ แต่พยานหลักฐานฟังได้ว่าร่วมสนับสนุนทางการเงินซึ่งการว่าจ้างคนเข้าร่วมการรับชมการออกสลากรางวัลคราวละ 70-80 คน คนละ 200ก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ขณะที่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ก็รู้จักกับจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และแม้ว่าพยานบางปากจะร่วมประชุมการวางแผนแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้กันตัวไว้เป็นพยาน จึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ

ส่วนนายพิชัย จำเลยที่ 5 รับฟังได้ว่า แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางแผนให้จำเลยที่1-2 กับพวก ร่วมกันเข้าชมการออกสลาก แต่พบว่าในการออกสลากรางวัลจำเลยที่ 5 ได้มุ่งที่จะซื้อสลากกินรวบ (ใต้ดิน) หมายเลข 11 จากนายฮุย เจ้ามือในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้รับเงินรางวัล 15 ล้าน บาท โดยโจทก์มีนายฮุยเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อจะต้องมีการจ่ายเงินได้ต่อรองกับจำเลยที่ 5 ขอจ่ายเงินรางวัลเพียงครึ่งหนึ่งหลังจากที่ได้โอนเงินให้แล้ว 3.5 ล้านบาท แต่ต่อมาจำเลยที่ 5 ได้พาจำเลยที่ 3 กับพวกไปติดตามเงินซึ่งได้ข่มขู่นายฮุยให้โอนเงินจำนวน 5 ล้านบาทเข้าบัญชี โดยภายหลังนายฮุยได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 5 และพวก การกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นการร่วมกันฉ้อโกง

ที่โจทก์ฎีกาให้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 5 ฐานซ่องโจรตามความผิดมาตรา 210 นั้น เห็นว่าตามกฎหมายการจะร่วมเป็นซ่องโจรจะต้องร่วมกระทำกันในลักษณะจัดหาที่ประชุม ชักชวนบุคคล ตามที่กำหนดตามมาตรา 212 แต่โจทก์ไม่มีพยานระบุว่าจำเลยที่ 5 ร่วมประชุม ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 5 ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอลงอาญานั้นเห็นว่าความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและความผิดฐาน ซ่องโจรตามมาตรา 210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ การออกสลากกินแบ่งจะต้องดำเนินด้วยความยุติธรรม แต่จำเลยกลับมุ่งหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน ถือว่าเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ดังนั้นที่ศาลล่างกำหนดโทษจำเลยจึงเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์ทั้งโจทก์และจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนและให้ออกหมายจับ จำเลยที่ 3 และ 4 มารับโทษตามคำพิพากษาของศาล
นายพิชัย เทพอารักษ์ หรือชัย โคกสำโรง (เสื้อลายสีขาว)


กำลังโหลดความคิดเห็น