xs
xsm
sm
md
lg

แม่ร้อง ป.สางคดีลูกสาวผู้ช่วยพยาบาลตายปริศนา

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

แม่ร้องน.ส.ณัฐนารี หรือณัฐ เมลกุล อายุ 21 ปี อดีต ผู้ช่วยพยาบาลเกาะสมุย เสียชีวิตปริศนา
สองสามีภรรยาร้องทุกข์กองปราบฯ คดีการเสียชีวิตบุตรสาวผู้ช่วยพยาบาลเกาะสมุย มีเงื่อนงำ กังขา ผลสรุปสำนวน ตร.ในพื้นที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากตัวผู้ตายมีร่องรอยการถูกทำร้าย และภายในห้องพักมีร่องรอยการต่อสู้

วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม นายไชโย เมลกุล อายุ 50 ปี และ น.ส.นิตยา สาเล๊ะ อายุ 42 ปี ชาว จ.สตูล เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.พรศักดิ์ พิทยารัตน์ รอง ผกก.5 บก.ป.และ พ.ต.ท.ปัญญา ชะเอมเทศ รอง ผกก.5 บก.ป. เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ได้เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้ช่วยสืบสวนสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว คือ น.ส.ณัฐนารี หรือณัฐ เมลกุล อายุ 21 ปี อดีตผู้ช่วยพยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ สาขาเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย ระบุว่าเป็นการผูกคอฆ่าตัวตาย แต่บิดามารดาไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากมีข้อพิรุธหลายประเด็น ตั้งแต่สภาพศพถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีร่องรอยการต่อสู้ในห้องพัก นอกจากนี้ไม่ไว้ใจพฤติกรรมของพนักงานสอบสวน แพทย์ และแฟนหนุ่มที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม หลังจากบิดามารดาเดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกสาวแล้วกลับโทรศัพท์ลึกลับข่มขู่ฆ่าอีกด้วย

น.ส.นิตยาเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ตนกับสามีได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อตำรวจกองปราบปรามให้กับ น.ส.ณัฐนารี ลูกสาวคนโต ที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ตนกับสามีไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากคดีนี้มีเรื่องไม่ชอบมาพากลหลายประการ ตั้งแต่เรื่องสภาพศพ ที่เกิดเหตุ และการสอบสวนผู้ต้องสงสัย ซึ่งหลังทราบเรื่องลูกสาวเสียชีวิต ตนกับสามีเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนยศ ร.ต.ท. ซึ่งตำรวจนายนี้เป็นเพื่อนทั้งกับลูกสาวและแฟนหนุ่มของลูกสาว แต่กลับไม่ยอมนำหลักฐานภาพถ่ายที่เกิดเหตุมาให้ดู อ้างว่าเป็นหลักฐานที่เปิดเผยไม่ได้

น.ส.นิตยากล่าวต่อว่า ตำรวจนายดังกล่าวบอกเพียงว่าลูกสาวผูกคอตายในลักษณะห้อยตัวจากที่สูง แต่มาทราบภายหลังว่าเป็นการผูกคอในท่านั่ง แต่สภาพศพและสภาพร่องรอยที่บริเวณลำคอ รวมทั้งสภาพภายในห้องที่เกิดเหตุล้วนแต่ตรงกันข้ามกับที่ตำรวจสรุป ไม่ว่าจะเป็นสภาพศพมีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายหลายแห่ง เช่น ที่แขนทั้งสองข้างมีแผลถลอก ปากแตก เบ้าตาซ้ายแตก ลิ้นปี่ และหลังมีรอยฟกช้ำ ลำคอหัก และลำคอมีบาดแผลถูกของมีคม แต่ตำรวจระบุว่าไม่พบบาดแผล

น.ส.นิตยากล่าวต่อว่า ส่วนภายในห้องที่เกิดเหตุมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของเสียหาย พัดลมแตกหักเป็นชิ้น กระจกแตก ประตูห้องพัง และในที่เกิดเหตุตำรวจไม่ได้แจ้งแพทย์ไปร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ยังพบกางเกงของแฟนหนุ่มของลูกสาวอยู่ภายในห้องลูกด้วย แต่กลับไม่มีการเรียกตัวมาสอบสวนทั้งๆ ที่มีพยานเห็นว่าแฟนของลูกสาวเข้ามาที่ห้องลูกสาวก่อนเกิดเหตุไม่นาน

น.ส.นิตยากล่าวว่า ลูกสาวไปทำงานและพักอยู่ที่เกาะสมุยมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ช่วงแรกทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลไทยอินเตอร์ ตำแหน่งประชาสัมพันธ์ และได้รู้จักสนิทสนมกับแฟนหนุ่มคนนี้ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรถพยาบาลฉุกเฉิน และเป็นพ่อหม้าย แต่ลูกสาวเพิ่งแยกออกมาพักเองลำพังได้เพียงเดือนกว่าก่อนเกิดเหตุ ส่วนการคบหากันระหว่างลูกสาวกับแฟนหนุ่มคนนี้ก็ทราบมาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องรุนแรงกับลูกสาว จะมีก็แต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 ลูกสาวกลับมาบ้านที่ จ.สตูล มาร้องไห้กับตนบอกว่าไม่อยู่สมุยแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว มีเมียของฝ่ายชายมาขู่ฆ่า ให้ช่วยไปเก็บของกลับบ้าน แต่ตนก็บอกให้ไปแจ้งที่ทำงานให้ทราบก่อนเพราะเราทำงานแล้วต้องมีความรับผิดชอบ แต่หลังจากนั้นก็คาดว่าทั้งสองคงปรับความเข้าใจกลับมาคืนดีกันได้

น.ส.นิตยากล่าวว่า ต่อมาเวลา 08.00 น.วันที่ 21 พฤศจิกายน ลูกสาวโทร.มาหาก็ยังคุยกันปกติ บอกว่ากำลังซักเสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำ ยังไม่ได้ไปทำงาน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงลูกสาวบอกว่า “อย่าแย่ง อย่าแย่ง” จากนั้นสายก็หลุดไป ต่อมาไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดเหตุกับลูกสาว ซึ่งคดีนี้ตำรวจได้สรุปสำนวนส่งอัยการแล้วแต่ถูกตีกลับมาเรื่องยังค้างคาอยู่ที่ตำรวจ ตนกับสามีได้ไปร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว แต่ก็มีเพียงการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน

“นอกจากไม่มีความคืบหน้าใดๆ แล้ว นายตำรวจ สภ.บ่อผุดที่ยศตำแหน่งสูงกว่าตำรวจเจ้าของคดีคนเดิมซึ่งเข้ามารับช่วงทำคดีต่อ ก็นำข้อมูลการใช้โทรศัพท์ไปตรวจสอบ แต่ข้อมูลถูกลบทิ้งไปอ้างว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ส่วนแฟนหนุ่มของลูกสาวที่ฉันสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตำรวจก็ไม่เคยเรียกมาสอบสวน อ้างเพียงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนี้เคยยอมรับว่าวันนั้นได้ทำร้ายลูกสาวจริงแต่ไม่ได้ฆ่า ส่วนบาดแผลของมีคมที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของลูกสาวทำร้ายตัวเอง ทั้งนี้ฉันต่อสู้มา 6 เดือน ไปร้องมาทุกหน่วยงานแล้วทั้งราชการและสื่อมวลชน จะให้ขุดศพก็เอา เพื่อความยุติธรรม ไม่อยากให้ลูกสาวตายฟรี พอเดินหน้ามากๆ เข้าก็มีโทรศัพท์ลึกลับเป็นเสียงผู้ชายโทร.มาขู่ฆ่า พูดคำเดียวว่า “อยากตายเหรอ” ทุกวันนี้เครียดมาก ต่อสู้เพียงลำพังกับสามีจนท้อ หรือเป็นเพราะว่าเรามันจน” น.ส.นิตยากล่าวทั้งน้ำตา

น.ส.นิตยากล่าวด้วยว่า ในส่วนของตำรวจกองปราบปรามก็ได้มีการสอบสวนเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และมีแนวโน้มว่าหากตรวจสอบการใช้โทรศัพท์แล้วพบว่าตนเป็นผู้ติดต่อกับลูกสาวคนสุดท้ายก็คงไม่สามารถทำอะไรได้

ด้าน พ.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ในคดีนี้ตนและชุดสืบสวน กก.5 บก.ป.ที่รับผิดชอบได้ลงพื้นที่ทำการสอบสวนด้วยตัวเอง โดยมีการสอบสวนแพทย์ และพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดผู้ตาย รวมทั้งตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะจดหมายของผู้ตายที่ทิ้งไว้ รวมทั้งพฤติการณ์แวดล้อมก่อนเกิดเหตุ ทั้งในส่วนของผู้ตายและผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสใดที่ชี้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการถูกฆาตกรรม แต่อย่างไรก็ตาม ในคดีก็ยังมีข้อสงสัยอีกหลายประการอยู่ ซึ่งก็จะทำการตรวจสอบให้มีความชัดเจนและจะให้ความเป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
กำลังโหลดความคิดเห็น