xs
xsm
sm
md
lg

ญาติเหยื่อเจ้าหน้าที่อุ้มฆ่ายัดคดียานรก เข้ามอบดอกไม้ดีเอสไอช่วยคลี่คลายคดี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ญาติเหยื่อเจ้าหน้าที่อุ้มฆ่าอ้างวิสามัญค้ายาเสพติด เข้ามอบดอกไม้ขอบคุณ ดีเอสไอ หลังจากช่วยคลี่คลายคดีจนสามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ราย จนติดคุกทหารตลอดชีวิต

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (24 เม.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายสุชาติ ไฝเอ้ย พร้อมครอบครัวได้นำช่อดอกไม้เดินทางเข้ากล่าวขอบคุณทางกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้ให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัว โดยการคลี่คลายคดีทหารอุ้มฆ่าน้องชายและจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้เป็นผลสำเร็จ

สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 46/2551 ซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร 2 นาย นายทหารชั้นประทวน 1 นาย ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยคดีนี้ได้รับเป็นคดีพิเศษเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 ซึ่งมีพยานที่ต้องเข้าโครงการคุ้มครองพยานจำนวน 3 ราย และใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เป็นระยะ 11 เดือน โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้กำชับให้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษ ดำเนินการโดยคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยของพยาน และให้รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งฟ้องผู้ต้องหาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2552

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2556 ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามข้อกล่าวหาที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งฟ้อง ให้จำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต

พฤติการณ์แห่งคดี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่สายจังหวัดเชียงราย ได้ส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพ ที่ ช.7/2548 ไปยังพนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย เพื่อขอยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงรายไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย ซึ่งศาลจังหวัดเชียงรายได้มีคำสั่งหมายเลขดำ ที่ ช.22/2548 และคดีหมายเลขแดงที่ ช.11/2551 ลงวันที่ 10 เมษายน 2551 ว่าการตายของนายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย เป็นการตายโดยถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำไห้ตายด้วยกระสุนปืน เอ็ม16 เอ2 แต่การตายของนายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หรือไม่ยังเป็นข้อสงสัย เนื่องจากพยานหลักฐานและการนำสืบการวิสามัญฆาตกรรม ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยและขัดแย้งกันอยู่

นายสุชาติ ไฝเอ้ย (น้องของผู้ตาย) ได้ร้องขอความเป็นธรรมให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 46/2551 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไปรับนายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย (ผู้ตาย) จากบ้านแล้วนำไปยังที่เกิดเหตุจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม16 เอ2 ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และสร้างพยานหลักฐานอำพรางว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรม โดยมีการนำรถจักรยานยนต์ อาวุธปืนลูกซอง และยาเสพติด ซึ่งไม่ใช่ของผู้ตายมาจัดฉากว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายาเสพติด จากการตรวจรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์พบว่า มีร่องรอยมัดมือมัดเท้า และรอยรัดคอผู้ตายไว้ในลักษณะพันธนาการด้วย นอกจากนั้นยังพบข้อพิรุธน่าสงสัยอีกหลายประการที่ทำให้เชื่อว่า มิใช่เป็นการวิสามัญฆาตกรรม แต่เป็นการวางแผนฆ่านายสุรศักดิ์ ไฝเอ้ย ไว้ล่วงหน้า

สำหรับมูลเหตุจูงใจในการฆ่า เชื่อว่ามาจากปัญหาการทะเลาะวิวาทบาดหมางระหว่างผู้ตายกับญาติของเจ้าหน้าที่ทหาร

อย่างไรก็ตามคดีนี้สามารถคลี่คลาย และนำตัวผู้กระทำผิดตัวจริงไปดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยการนำมาตรการคุ้มครองพยานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการใช้เครื่องมือพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ คือ การใช้เครื่องจับเท็จในการพิสูจน์คำให้การของพยาน โดยเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ผ่านการฝึกอบรมการจากเจ้าหน้าที่ FBI ประเทศสหรัฐอเมริกา จนมีความเชี่ยวชาญ ในการใช้เครื่องมือดังกล่าว ทั้งนี้ทางกระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายงานคุ้มครองพยานให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดูแลแล้ว
นายสุชาติ ไฝเอ้ย พร้อมครอบครัวได้นำช่อดอกไม้เดินทางเข้ากล่าวขอบคุณนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้ให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัวโดยการคลี่คลายคดีทหารอุ้มฆ่าน้องชายและจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้เป็นผลสำเร็จ
กำลังโหลดความคิดเห็น