มารดา “เอ-นพปฎล อธิบาย” เหยื่อกระสุนปืน “พี-ปรเมศวร์” ร้องกองปราบฯ ร่วมสอบสวนคดีดังกล่าว เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สน.ทองหล่อ และอาจมีการบิดเบือนทำลายพยานหลักฐาน อีกทั้งการสรุปสำนวนก็เนิ่นนานผิดปกติ
วันนี้ (13 ก.พ.) ที่กองปราบปราม นางทองใบ ไพรสน อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 200/16 ตรอกบางอุทิศ แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กทม. มารดาของนายนพปฎล หรือเอ อธิบาย อายุ 44 ปี ที่ถูกนายปรเมศวร์ สิงห์โพธิ์ หรือ “พี-ปรเมศวร์” อายุ 33 ปี ดารานักแสดงหนุ่ม และเป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงชื่อดังย่านทองหล่อ ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต เหตุเกิดที่ลานจอดรถตึกเอท (8) ซอยทองหล่อ 8 ถนนสุขุมวิท 55 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมด้วยนายจิรเสกข์ เตชะกำนุต ทนายความ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม โดยขอให้ตำรวจ บก.ป.ร่วมสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานคดีดังกล่าวร่วมกับตำรวจท้องที่
นายจิรเสกข์กล่าวว่า ภายหลังนายปรเมศวร์ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ท้องที่เกิดเหตุ เพื่อรับทราบข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรไปแล้วนั้น ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ในคดี ทั้งการสอบปากคำพยานบุคคล และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุ แต่มารดาและญาติของผู้เสียชีวิตยังอยากให้ทางตำรวจ บก.ป.ร่วมสอบสวนคดีนี้ด้วย เพื่อให้พยานหลักฐานในคดีมีความแน่นหนามากยิ่งขึ้น
นายจิรเสกข์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาหลังจากมีการแจ้งข้อหาต่อนายปรเมศวร์ ซึ่งตำรวจต้องปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเป็นการเข้าพบพนักงานสอบสวนเองตามกฎหมาย และขึ้นอยู่กับดุลพินิจว่าจะมีการเรียกตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติมเมื่อใดจนกว่าจะมีการสรุปสำนวนคดีและส่งฟ้องต่ออัยการ ซึ่งขณะนี้ญาติผู้เสียชีวิตมีความกังวลต่อคดี เพราะทางผู้ต้องหาก็ตั้งป้อมที่จะต่อสู้ ถึงกับเอ่ยปากว่า “ขอให้ไปสู้คดีในชั้นศาล” หากการสอบปากคำพยานบุคคลซึ่งทั้งหมดก็เป็นคนของฝ่ายผู้ต้องหา รวมทั้งไม่มีภาพวงจรปิดที่ยืนยันในช่วงนาทีลั่นไก อาจเป็นช่องโหว่ให้ผู้ต้องหาได้ประโยชน์จากการพิจารณาคดีนั่นเอง
นายจิรเสกข์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ระยะเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจท้องที่ก็เนิ่นนานร่วมเดือนแล้ว คดีก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร หากนานวันไปก็จะเกิดความเคลือบแคลงว่าอาจมีการบิดเบือนทำลายพยานหลักฐานที่สำคัญต่างๆ ในคดีนี้ที่จะเป็นการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั่นเอง
ทั้งนี้ ทาง ร.ต.ท.ชลิตได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องไว้ ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป