ผบ.ตร.การันตี “พงศพัศ” ไม่เกี่ยวข้องการทำทีโออาร์สร้างโรงพัก ผู้อนุมัติให้ขยายสัญญาคือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้าง
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนการสร้างโรงพัก 396 โรงพักว่า ทาง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินให้ทราบทุกวัน เรื่องสัญญาก็ต้องรอหมดสัญญาวันที่ 14 มีนาคมที่ต้องส่งมอบงานถึงจะยกเลิกได้ตามกฎหมาย ตอนนี้รวบรวมเรื่องค่าเสียหายทั้งหมดเพื่อดำเนินการต่อ เรื่องที่ต้องเร่ง คือ วางระบบโรงพักที่ดำเนินการก่อสร้างอยู่ 396 แห่ง ซึ่งทราบว่าส่วนที่รื้อไปแล้ว 100 กว่าแห่งที่ยังไม่รื้อ 200 กว่าแห่งเราต้องวางแนวทางให้เกิดการขับเคลื่อนไปได้ต้องวางเรื่องของงบประมาณต่างๆ
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวต่อว่า วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์นี้จะเรียกหัวหน้าโรงพักทั้ง 396 โรงพักมาประชุมเพื่อรับทราบปัญหา หาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันที่สโมสรตำรวจ ตนเองเป็นผู้นำหน่วยก็ต้องรับผิดชอบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในหากดีเอสไอเรียกท่านไปสอบในส่วนของคดีอาญา พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ก็ต้องดูก่อน ในส่วนของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.จากการตรวจสอบแล้วพบว่าท่านไม่เกี่ยวกับขั้นตอนการทำทีโออาร์สร้างโรงพักแต่อย่างใด เพราะสัญญาต่างๆ มันผ่านมาหลายปีแล้ว
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงความคืบหน้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจสอบการจัดสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง ผ่านทางอีเมลดังนี้
“ตามที่มีผู้ให้ข่าวปรากฏต่อสาธารณชนว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาลไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาฯ มีการต่อเวลาหรือขยายให้กับบริษัทพีซีซีฯ ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 60 วัน รวมต่อสัญญา 180 วัน เป็นเหตุให้ราชการเสียหายไม่ได้ค่าปรับถึง 1,026 ล้านบาท กรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด การบริหารโครงการและดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญานั้น มีคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ ตรวจสอบอยู่ตามกฎหมาย การขอขยายสัญญานั้น สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ว่าด้วยการพัสดุและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฯ ทั้งนี้ ตามระเบียบและกฎหมายดังกล่าวได้ระบุเหตุผลการขยายสัญญามีหลักการใหญ่ๆ คือ 1. เหตุที่เกิดจากข้อบกพร่องของผู้ว่าจ้าง เช่น ส่งมอบพื้นที่บางแห่งไม่ทันเวลาฯ หรือ 2. เหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย เช่น เหตุภัยธรรมชาติฯ ในกรณีนี้คือเหตุอุทกภัย เมื่อปลายปี 2554 ต่อต้นปี 2555 หรือ 3. เหตุที่ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เช่น การสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ แล้วผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทัน เป็นต้น
ดังนั้น การขยายสัญญาการสร้างสถานีตำรวจฯ ครั้งนี้จึงเป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายข้างต้น ผู้อนุมัติให้ขยายสัญญา คือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้าง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับรัฐบาลหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด ข้อความที่กล่าวหามานั้นจึงเป็นเท็จไม่ตรงต่อความเป็นจริง
ส่วนกรณีที่มีผู้ให้ข่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งขณะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำขอบเขตการก่อสร้าง (TOR) ในการจัดสร้างสถานีตำรวจรวมสัญญาเดียวแบบบริษัทเดียวทั้ง 396 แห่ง รวมทั้งลงนามให้จ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 15 ให้แก่บริษัทที่ชนะการประมูลไปก่อนนั้น ขอเรียนชี้แจงว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เป็นการกล่าวหากันโดยไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะความจริงแล้ว พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเป็นประธานหรือจัดทำขอบเขตการก่อสร้างสถานีตำรวจรวมสัญญาแบบบริษัทเดียวดังกล่าว ข้อเท็จจริงการจัดทำขอบเขตการก่อสร้างและมีเงื่อนไขจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 15 ให้กับบริษัทที่ชนะการประมูลนั้นมี พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิตติวัฒน์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) ขณะนั้นเป็นผู้ลงนาม พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ตามเหตุผลข้างต้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอนำเรียนข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงให้กับประชาชนและสาธารณชนได้รับทราบจะได้เข้าใจได้ถูกต้อง