ศาลสั่งจำคุก 10 ปี “จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์” อดีตตำรวจ สภ.คูคต ค้าอาวุธสงครามเข้าที่ชุมนุม นปช.เมื่อปี 2553 ชี้ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอตรงกับจำเลย อีกทั้งมีพยานจดจำใบหน้าได้อย่างชัดเจน
ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (31 ม.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1121/2554 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี เป็นจำเลยในความผิดฐานมีกระสุน เครื่องกระสุน และอาวุธสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 จำเลยมีลูกระเบิดยิงขนาด 40 มม.แบบเอ็ม 79 ชนิดเจาะเกราะ และชนวนแบบเอ็ม 403 รวม 62 นัด สภาพพร้อมใช้งาน แรงระเบิดมีอานุภาพสังหารชีวิตและทำลายทรัพย์สินเสียหายในรัศมีประมาณ 5 เมตร ไว้เพื่อจำหน่ายราคาลูกละ 1,200 บาท อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 1 ก.ค. 2522 และออกตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 เหตุเกิดที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 55, 78 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ คดีนี้พยานโจทก์เบิกความว่า ขณะที่ตำรวจตั้งด่านอยู่บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต พบจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ ทะเบียน พงน 68 กทม.ขี่ผ่านมา จึงเรียกให้หยุด จากนั้นจำเลยได้เปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจดูสิ่งของในถุงพลาสติกท้ายจักรยานยนต์ แต่จำเลยกลับขี่รถหลบหนี โดยเลี้ยวเข้าไปในซอยวิภาวดี 1 กระทั่งถุงพลาสติกตกลงพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจดูพบกระเป๋าสตางค์มีบัตรประชาชนระบุชื่อจำเลยเป็นนายปริญญา มณีโคตม์ บัตรข้าราชการตำรวจ และบัตรชมรมยิงปืน ระบุชื่อ จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ รวมทั้งกระสุนปืนของกลาง ต่อมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมจำเลยได้ เมื่อนำจำเลยไปยืนปะปนกับบุคคลอื่นพยานก็สามารถชี้ตัวจำเลยได้อย่างถูกต้อง แสดงว่าพยานสามารถจดจำใบหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งเมื่อนำหมวกกันน็อกไปตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบกับจำเลยผลตรวจพิสูจน์ก็ออกมาตรงกัน ซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยากที่จะมีผู้ใดมาเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า สาเหตุที่จำเลยต้องไปบริเวณด่านตรวจนั้นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้เข้าไปแฝงตัวกับกลุ่ม นปช.นั้น จำเลยไม่ได้นำคำสั่งของผู้บังคับบัญชามาแสดงให้ทราบ อีกทั้งในที่เกิดเหตุยังพบกระเป๋าสตางค์ของจำเลยตกอยู่ด้วย พยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับบฟัง
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานครอบครองอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ให้จำคุก 10 ปี และริบของกลาง
ด้านนายสาคร ศิริชัย ทนายจำเลยกล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป ในประเด็นที่ว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาจำเลยในทันทีที่ถูกจับกุม และตำรวจที่พบเห็นจำเลยนั้นไม่ยืนยันตัวจำเลยตั้งแต่แรก นอกจากนี้ การตรวจของกลางกว่า 40 รายการก็ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลย จะมีก็เพียงแต่ผลตรวจดีเอ็นเอที่ได้จากหมวกกันน็อกเท่านั้นที่ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลย
