สน.ท่าเรือ แจ้งข้อหานักศึกษาอาชีวะข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่-ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เหตุยกพวกตะลุมบอนคอนเสิร์ตคาราบาว เผยขอภาพวงจรปิดจับเพิ่ม
วันนี้ (15 ม.ค.) ที่ สน.ท่าเรือ พ.ต.อ.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผกก.สน.ท่าเรือ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีกลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันกลางงานคอนเสิร์ตการกุศล “แสงแห่งหวัง LIGHT OF HOPE SEK - BAO CHARITY CONCERT” ว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมกำลังเอาไว้จำนวน 5 กองร้อย หรือ 750 นาย แบ่งเป็นกองร้อยควบคุมฝูงชนจาก บก.น.5 จำนวน 2 กองร้อย บก.อคฝ.จำนวน 2 กองร้อย และชุดจู่โจมของ บก.น.5 อีก 1 กองร้อย นอกจากนี้ยังมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด นำเครื่องตรวจระเบิดและเครื่องสแกนโลหะ ทำการตรวจอาวุธบริเวณประตูปากทางเข้าทั้ง 2 ทาง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงประจำอยู่ด้วย โดยเมื่อเริ่มงานก็มีผู้ชมเข้ามาประมาณ 5,000-6,000 คน แต่ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมาระหว่างวัยรุ่น 2 กลุ่ม ในช่วงเวลาประมาณ 22.30 น. คือกลุ่มของนักศึกษาอาชีวะของสถาบันแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน (ช่างกลอุเทนถวาย) กับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่คลองเตย ทางเจ้าหน้าที่จึงรีบกันผู้ชมที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปจากสนาม ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่คลองเตยได้ออกจากสนามไปอยู่ด้านนอกแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังตะโกนด่าทอกัน รวมทั้งมีการปาขวดน้ำและก้อนหินข้ามรั้วใส่กันไปมาเป็นระยะ
พ.ต.อ.เกติ์ฉกาจกล่าวอีกว่า ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกทันทีพร้อมระงับเหตุ เมื่อเหตุการณ์สงบลง เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุเอาไว้ทั้งหมดจำนวน 58 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ และกลุ่มวัยรุ่นพื้นที่คลองเตยบางคน จากนั้นได้นำตัวมาถ่ายรูปทำประวัติเก็บข้อมูลไว้ ก่อนเรียกผู้ปกครองมารับตัวกลับไปโดยไม่ได้แจ้งข้อหาแต่อย่างใด แต่มีการแจ้งข้อหา 1 ราย เป็นนักศึกษาสถาบันอาชีวะ อายุ 18 ปี ซึ่งได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เนื่องจากได้ก่อเหตุชกเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทางผู้ปกครองได้ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 30,000 บาทประกันตัวออกไปตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะทำการประสานขอภาพวงจรปิดจากทางผู้จัดงานมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุว่าใครเป็นคนเริ่มก่อความวุ่นวายปาประทัดยักษ์ในครั้งแรก และจะติดตามตัวมาพิจารณาแจ้งข้อหาต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นอาวุธอย่างเข้มงวดแล้ว แต่ทำไมยังมีประทัดยักษ์เล็ดลอดเข้าไปได้ พ.ต.อ.เกติ์ฉกาจกล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะว่าทางอัฒจันทร์ของสนามเป็นแบบโครงเหล็ก ไม่ใช่อัฒจันทร์แบบปูนที่ปิดล้อมทั้งหมดแบบสนามอื่น จึงอาจจะมีการแอบซุกซ่อนเล็ดลอดเข้ามาตามช่องเล็กๆ ของรั้วก็เป็นไปได้
ขณะที่ที่ห้องประชุม บก.น.5 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.กฤษฏิ์ เปียแก้ว ผบก.น.5 พ.ต.อ.ศรัญญู ชำนาญราช พ.ต.อ.สมนึก น้อยคง พ.ต.อ.จักษ์ จิตตธรรม และพ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบก.น.5 ได้เข้าประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์
พ.ต.อ.จักษ์กล่าวภายหลังการประชุมว่า หลังจากได้รายงานทราบว่ามีกลุ่มนักเรียนอาชีวะของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง กับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้จัดงานล่วงหน้าเพียงไม่กี่วัน โดยทาง บก.น.5 และพื้นที่ สน.ท่าเรือ ปฏิเสธที่จะให้จัดคอนเสิร์ตดังกล่าว แต่ผู้จัดงานอ้างว่าเป็นคอนเสิร์ตการกุศลและเตรียมงานเอาไว้หมดแล้ว ทางตำรวจจึงต้องอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการประชุมร่วมกันหลายฝ่าย พร้อมได้ใช้กำลังตำรวจจากกองร้อยควบคุมฝูงชนกว่า 800 นาย
พ.ต.อ.จักษ์กล่าวอีกว่า ช่วงเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พยายามป้องกันเหตุแต่ไม่สำเร็จ เพราะข้างนอกสนามฟุตบอลก็มีการตีกันอีก จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา และยืนยันว่าทำไปตามขั้นตอนหลักสากลอย่างถูกต้อง หากไม่ทำเหตุการณ์อาจจะบานปลายมากไปกว่านี้
“เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นอาวุธก่อนที่จะเข้าไปในงานดังกล่าว รวมทั้งการวางกำลังแบ่งเป็นชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก แต่ละชั้นใช้กำลังเกือบ 4 กองร้อย มีการจัดตั้ง ศปก.เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยด้วย เป็นไปตามกฎของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกอย่าง นอกจากนี้ กรณีที่มีกลุ่มวัยรุ่นใช้ระเบิดปิงปองภายในคอนเสิร์ตนั้น ขณะที่ตรวจค้นไม่พบว่าซุกซ่อนอยู่ในตัวผู้ที่เข้าไปชมคอนเสิร์ต น่าจะเป็นการปาหรือยิงเข้ามาในลักษณะวิถีโค้ง ไม่ใช่ปาจากภายในงาน” พ.ต.อ.จักษ์กล่าว
พ.ต.อ.จักษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่มีการจัดงานคอนเสิร์ตคาราบาว มักจะมีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน เหมือนเป็นสัญลักษณ์ ทางผู้บังคับบัญชาก็ให้ความสำคัญ จึงมีการวางแผนตั้งแต่ต้นสำหรับมาตรการป้องกัน ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้มีการบาดเจ็บเล็กน้อยมาก โดยหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน แม้แต่ตัวศิลปินเองเพื่อกำหนดรูปแบบการป้องกัน แม้ว่าความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจะน้อยมาก นอกจากนี้ ทางตำรวจสามารถระงับไม่ให้มีการจัดงานได้ แต่ต้องมีหลักการและเหตุผลเพื่อใช้เป็นดุลพินิจ เพราะผู้จัดงานเองก็มีสิทธิตามกฎหมายในการที่จัดงานต่างๆ ส่วนการดำเนินคดีก็คุมตัวผู้ก่อเหตุมาทำประวัติเอาไว้และปล่อยตัวไป