สตช.จัดสัมมนาขับเคลื่อนนโยบายให้ ตร.ทุกนายมีความเป็นอาชีพ และเป็นที่พึ่งของประชาชน ประเมินผลหลังมอบนโยบายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.การขับเคลื่อนแต่ละหน่วยยังไม่เป็นรูปธรรม
วันนี้ (11 ธ.ค.) ที่โรงแรมเดอะซายน์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สยศ.ตร.) จัดงานสัมมนาขับเคลื่อนนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), รอง ผบ.ตร., ที่ปรึกษา (สบ 10), ผู้ช่วย ผบ.ตร., ผู้บัญชาการหน่วย และผู้บังคับการทุกหน่วย เข้าร่วมสัมมนา
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวเปิดการสัมมนาว่า นโยบายขับเคลื่อนของ ตร.ยังเน้นขับเคลื่อนโยบายตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมาทั้ง 10 ข้อ ประกอบด้วย 1. ความหนักแน่นในการปราบปรามยาเสพติด 2. การป้องกันปราบปรามเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง 3. ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ 4. ช่วยดูแลเกี่ยวกับการจราจร โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน 5. พัฒนาเกี่ยวกับระบบด้านการข่าว 6. การนำหลักบริหารจัดการมาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี 7. การพัฒนาคน ต้องให้มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การฝึกศึกษาจึงสำคัญมาก ทาง ผบก.ภ.จว.ต้องมีความรู้หลายหลาย และเป็นนักบริหาร แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง 8. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 9. การปรับตัวเคลื่อนสู่อาเซียน และ 10. รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวต่อว่า นโยบายต้องการให้ตำรวจทุกนายเป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน โดยมีเจตนารมณ์ 3 ข้อที่ขอให้นำไปปฏิบัติ คือ 1. เป็นตำรวจที่ปกป้อง เทิดทูน และจงรักภักดีต่อสถาบัน 2. เป็นตำรวจมืออาชีพ ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 3. เป็นตำรวจที่ประชาชนเชื่อมั่น ศรัทธา และเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง โดย ผบก.ภ.จว.ต้องคิดว่าจะสอนอย่างไรทำให้เป็นตำรวจที่น่าเชื่อถือ ส่วนนโยบายเน้นหนักนั้น ประกอบด้วย (1. ปกป้องเทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (2. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นในการบูรณาการตำรวจต้องร่วมมือกันทุกด้าน และการปราบปรามต้องสอดส่อง ซึ่งปีที่ผ่านมาจับกุมเครือข่ายได้เกินกว่า 6 หมื่นเครือข่าย มีคดีไม่น้อยกว่า 3 แสนคดี ยึดยาบ้าได้ 60-70 ล้านเม็ด (3. แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อยุติเหตุร้ายแรงรายวัน โดยในพื้นที่ต้องการนักสืบ ต้องการพนักงานสอบสวน ดังนั้นทุกหน่วยต้องช่วยกัน โดยบูรณาการในส่วนของ ตร.ให้เกิดความเข้มแข็ง โดยยึดหลักการทำงาน คือ สร้างความเข้มแข็ง โดยกำลังพล โรงพักต้องมีความเข้มแข็ง เน้นฝึกกำลังพล เน้นการเป็นผู้นำหน่วย เพื่อให้คุ้มครองประชาชนได้ ให้ความเสมอภาคและเป็นธรรม ถ้าจับกุมคดี และซ้อมผู้ต้องหาถือว่าเราแพ้ หลักสากล ทำงานมวลชน ตรงนี้เป็นการรับใช้ประชาชนด้วยความเป็นธรรม ซึ่งนำมาใช้กับม๊อบได้
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า (4. ควบคุมและลดความรุนแรงของอาชญากรรมให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ โดยการนำหลักมาวิเคราะห์อาชญากรรม ควบคุมอาวุธ บ่อนการพนัน ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ถ้าประเทศที่มีอาชญากรรมลดลง นักท่องเที่ยวจะมีความเชื่อมั่นเดินทางมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น (5. การพัฒนาสถานีตำรวจ เพื่อให้มีความพร้อมในการให้บริการ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง (6. การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจให้ยึดประชาชนเป็นส่วนกลาง และส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และท้องถิ่นมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ และมีส่วนร่วมในทุกมิติ (7.พัฒนาบุคลากรทุกสายให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ มีความรู้จริงในด้านนั้นๆ มีความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นในศีลธรรม และสร้างค่านิยมให้มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและประหยัด โดยผู้บัญชาการเป็นหลัก เป็นครูฝึกสอนให้ก่อน เพื่อให้มีการเติบโตในสายงาน ถ้าไม่มีการเรียนรู้เพิ่มเติมจะกลายเป็นคนตายซาก (8.เตรียมความพร้อม และเร่งรัดการดำเนินการด้านบุคลากร โครงสร้าง กฎระเบียบ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรองรับ และเป็นมาตรฐานในกรอบของประชาคมอาเซียน (9.พัฒนาศูนย์ปฏิบัติการ หรือ ศปก.ทุกระดับ ให้มีความพร้อม เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้บังคับบัญชาในการขับเคลื่อนติดตามการปฏิบัติ และบูรณาการการทำงานในทุกมิติ ข้อมูลข่าวสารในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันสูง (10.เน้นภาวะผู้นำในทุกะดับ ผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงานเป็นทีมและมีเอกภาพ และ (11.จัดระบบและดำเนินการด้านสวัสดิการให้แก่ข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุแล้ว
พล.ต.อ.อดุลย์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การมอบนโยบายเพื่อตอกย้ำให้ผู้นำหน่วยนำสิ่งที่เคยมอบนโยบายไปแล้ว ไปขับเคลื่อนปฏิบัติ ซึ่งในการสัมมนา 3 วัน มีหลายหัวข้อ เช่น สถานการณ์โลกที่ผู้นำหน่วยต้องเรียนรู้และปรับตัวไปตามทิศทางนั้น เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมในปัจจุบันมีการเชื่อมต่อไปสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งอาชญากรรมข้ามชาติ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ทั้งนี้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ตนมอบนโยบายในต้นเดือน ต.ค.การขับเคลื่อนนโยบายของแต่ละหน่วยนั้นยังไม่เป็นรูปธรรม ระดับ ผบช.และ ผบก. ถือว่าพอใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากตอกย้ำกันอีกครั้งในการสัมมนาครั้งนี้ ผู้นำระดับต่างๆ จะพัฒนาขึ้น โดยหลังจากนี้การแต่งตั้งก็เสร็จแล้ว ตนจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจต่างๆ ไปดูการขับเคลื่อนของผู้กำกับการโรงพักต่อไป
วันนี้ (11 ธ.ค.) ที่โรงแรมเดอะซายน์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สยศ.ตร.) จัดงานสัมมนาขับเคลื่อนนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), รอง ผบ.ตร., ที่ปรึกษา (สบ 10), ผู้ช่วย ผบ.ตร., ผู้บัญชาการหน่วย และผู้บังคับการทุกหน่วย เข้าร่วมสัมมนา
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวเปิดการสัมมนาว่า นโยบายขับเคลื่อนของ ตร.ยังเน้นขับเคลื่อนโยบายตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมาทั้ง 10 ข้อ ประกอบด้วย 1. ความหนักแน่นในการปราบปรามยาเสพติด 2. การป้องกันปราบปรามเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง 3. ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ 4. ช่วยดูแลเกี่ยวกับการจราจร โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน 5. พัฒนาเกี่ยวกับระบบด้านการข่าว 6. การนำหลักบริหารจัดการมาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี 7. การพัฒนาคน ต้องให้มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การฝึกศึกษาจึงสำคัญมาก ทาง ผบก.ภ.จว.ต้องมีความรู้หลายหลาย และเป็นนักบริหาร แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง 8. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 9. การปรับตัวเคลื่อนสู่อาเซียน และ 10. รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวต่อว่า นโยบายต้องการให้ตำรวจทุกนายเป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน โดยมีเจตนารมณ์ 3 ข้อที่ขอให้นำไปปฏิบัติ คือ 1. เป็นตำรวจที่ปกป้อง เทิดทูน และจงรักภักดีต่อสถาบัน 2. เป็นตำรวจมืออาชีพ ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 3. เป็นตำรวจที่ประชาชนเชื่อมั่น ศรัทธา และเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง โดย ผบก.ภ.จว.ต้องคิดว่าจะสอนอย่างไรทำให้เป็นตำรวจที่น่าเชื่อถือ ส่วนนโยบายเน้นหนักนั้น ประกอบด้วย (1. ปกป้องเทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (2. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นในการบูรณาการตำรวจต้องร่วมมือกันทุกด้าน และการปราบปรามต้องสอดส่อง ซึ่งปีที่ผ่านมาจับกุมเครือข่ายได้เกินกว่า 6 หมื่นเครือข่าย มีคดีไม่น้อยกว่า 3 แสนคดี ยึดยาบ้าได้ 60-70 ล้านเม็ด (3. แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อยุติเหตุร้ายแรงรายวัน โดยในพื้นที่ต้องการนักสืบ ต้องการพนักงานสอบสวน ดังนั้นทุกหน่วยต้องช่วยกัน โดยบูรณาการในส่วนของ ตร.ให้เกิดความเข้มแข็ง โดยยึดหลักการทำงาน คือ สร้างความเข้มแข็ง โดยกำลังพล โรงพักต้องมีความเข้มแข็ง เน้นฝึกกำลังพล เน้นการเป็นผู้นำหน่วย เพื่อให้คุ้มครองประชาชนได้ ให้ความเสมอภาคและเป็นธรรม ถ้าจับกุมคดี และซ้อมผู้ต้องหาถือว่าเราแพ้ หลักสากล ทำงานมวลชน ตรงนี้เป็นการรับใช้ประชาชนด้วยความเป็นธรรม ซึ่งนำมาใช้กับม๊อบได้
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า (4. ควบคุมและลดความรุนแรงของอาชญากรรมให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ โดยการนำหลักมาวิเคราะห์อาชญากรรม ควบคุมอาวุธ บ่อนการพนัน ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ถ้าประเทศที่มีอาชญากรรมลดลง นักท่องเที่ยวจะมีความเชื่อมั่นเดินทางมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น (5. การพัฒนาสถานีตำรวจ เพื่อให้มีความพร้อมในการให้บริการ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง (6. การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจให้ยึดประชาชนเป็นส่วนกลาง และส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และท้องถิ่นมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ และมีส่วนร่วมในทุกมิติ (7.พัฒนาบุคลากรทุกสายให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ มีความรู้จริงในด้านนั้นๆ มีความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นในศีลธรรม และสร้างค่านิยมให้มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและประหยัด โดยผู้บัญชาการเป็นหลัก เป็นครูฝึกสอนให้ก่อน เพื่อให้มีการเติบโตในสายงาน ถ้าไม่มีการเรียนรู้เพิ่มเติมจะกลายเป็นคนตายซาก (8.เตรียมความพร้อม และเร่งรัดการดำเนินการด้านบุคลากร โครงสร้าง กฎระเบียบ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรองรับ และเป็นมาตรฐานในกรอบของประชาคมอาเซียน (9.พัฒนาศูนย์ปฏิบัติการ หรือ ศปก.ทุกระดับ ให้มีความพร้อม เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้บังคับบัญชาในการขับเคลื่อนติดตามการปฏิบัติ และบูรณาการการทำงานในทุกมิติ ข้อมูลข่าวสารในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันสูง (10.เน้นภาวะผู้นำในทุกะดับ ผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงานเป็นทีมและมีเอกภาพ และ (11.จัดระบบและดำเนินการด้านสวัสดิการให้แก่ข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุแล้ว
พล.ต.อ.อดุลย์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การมอบนโยบายเพื่อตอกย้ำให้ผู้นำหน่วยนำสิ่งที่เคยมอบนโยบายไปแล้ว ไปขับเคลื่อนปฏิบัติ ซึ่งในการสัมมนา 3 วัน มีหลายหัวข้อ เช่น สถานการณ์โลกที่ผู้นำหน่วยต้องเรียนรู้และปรับตัวไปตามทิศทางนั้น เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมในปัจจุบันมีการเชื่อมต่อไปสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งอาชญากรรมข้ามชาติ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ทั้งนี้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ตนมอบนโยบายในต้นเดือน ต.ค.การขับเคลื่อนนโยบายของแต่ละหน่วยนั้นยังไม่เป็นรูปธรรม ระดับ ผบช.และ ผบก. ถือว่าพอใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากตอกย้ำกันอีกครั้งในการสัมมนาครั้งนี้ ผู้นำระดับต่างๆ จะพัฒนาขึ้น โดยหลังจากนี้การแต่งตั้งก็เสร็จแล้ว ตนจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจต่างๆ ไปดูการขับเคลื่อนของผู้กำกับการโรงพักต่อไป