หนุ่มหึงโหดฆ่าปาดคอสาวพนักงานบัญชีของกรมพลศึกษา ก่อนปาดคอตัวเองหวังหนีความผิด พบ จม.ระบายความหึงโหดเพราะมือที่สามถึงต้องลงมือเช่นนี้ ญาติสาวติงสายตรวจมาถึงที่เกิดเหตุล่าช้า ทำให้ต้องเกิดเหตุสลด
วันนี้ (7 ต.ค.) ร.ต.ต.มนตรี คำขาว พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาท และหญิงสาวถูกปาดคอเสียชีวิตภายในห้องเลขที่ 406 ชั้น 4 อาคารเจริญผลอพาร์ตเมนต์ ถ.บรรทัดทอง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อม พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส ผกก.สน.ปทุมวัน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวชจาก รพ.ตำรวจ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารที่พักอาศัยสูง 6 ชั้น เจ้าหน้าที่พบว่าห้องดังกล่าวถูกล็อกจากด้านใน และเมื่อเคาะประตูก็ไม่มีเสียงตอบรับ เจ้าหน้าที่จึงได้พังประตูเข้าไป พบร่างของนายชาญชัย วินากร อายุ 29 ปี นอนหงายอยู่กลางห้องในสภาพหายใจรวยริน มีบาดแผลถูกปาดที่ลำคอ 1 แผล และถูกแทงที่หน้าท้องอีก 1 แผล เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่ง รพ.จุฬาลงกรณ์ ขณะเดียวกัน ยังพบศพ น.ส.สายชล คงแก้ว อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75/1 หมู่ที่ 6 ต.บ่อแดง อ.สทิงพระ จ.สงขลา สภาพนอนหงายจมกองเลือด สวมชุดนอนสีชมพู ตรวจสอบตามร่างกายพบบาดแผลถูกปาดที่ลำคอจนเป็นแผลฉกรรจ์เห็นหลอดลม 1 แผล มีแผลถูกแทงตามแผ่นหลังอีก 14 แผล
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบภายในห้องที่เกิดเหตุพบร่องรอยต่อสู้จนข้าวของกระจัดกระจาย มีรอยเลือดกระเซ็นติดตามฝาผนัง บนที่นอนจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ยังพบมีดพับยาวประมาณ 6 นิ้วเปื้อนเลือดตกอยู่บนพื้น 1 เล่ม เสื้อพนักงานของบริษัทโตโยต้า 1 ตัว และจดหมายลาตายเขียนด้วยลายมือบนกระดาษ A4 จำนวน 3 แผ่น วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง โดย 2 แผ่นแรกเขียนด้วยลายมือฝ่ายชาย มีข้อความว่า “ผมทุ่มเททุกอย่าง เพราะมึง ไอ้เมธที่ทำให้ต้องเป็นแบบนี้ มึงทำให้ตาลตีตัวออกห่างกู เราขอตายด้วยกัน ขอโทษทุกคนที่ต้องเป็นแบบนี้ จบซักที” ส่วนอีกแผ่นเขียนด้วยลายมือฝ่ายหญิง มีข้อความว่า “แม่ ตาลขอโทษ ตาลทำให้แม่เสียใจ ตาลขอโทษแม่ ตาลขอตายกับเขา ตาลทำร้ายจิตใจแม่ พ่อ ต้นข้าว” เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นางชลธิชา อิ่นทา อายุ 49 ปี อาของผู้เสียชีวิตให้การว่า ผู้ตายทำงานเป็นพนักงานบัญชีของกรมพลศึกษามาได้ประมาณ 2 ปี แล้ว และพักอาศัยอยู่ที่ห้องที่เกิดเหตุเพียงลำพังได้ประมาณ 1 ปี เนื่องจากสามีกับลูกสาว อายุ 7 ขวบ นั้นทำงานกับเรียนหนังสืออยู่ที่ จ.สงขลา โดยก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23.00 น. สามีผู้ตายโทรศัพท์มาบอกตนให้รีบมาหาผู้ตายเพื่อรับไปนอนที่บ้านย่านลาดพร้าวด้วย เนื่องจากถูกฝ่ายชายบุกมาข่มขู่ถึงที่ห้องพัก ตนจึงชวนลูกสาวนั่งแท็กซี่ออกมาหา เมื่อมาถึงที่ห้องก็ได้ยินเสียงผู้ตายกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น แต่ห้องถูกล็อกจากด้านใน ตนจึงเคาะประตูตะโกนเรียนหลานสาวแต่ก็ไม่มีใครยอมเปิด จึงรีบไปที่ สน.ปทุมวัน แจ้งตำรวจให้มาช่วยเหลือ
“เมื่อไปถึงโรงพัก ตำรวจที่รับแจ้งความก็แจ้งว่าจะมีสายตรวจที่ตระเวนอยู่ในท้องที่มาช่วยเหลือ จึงเดินทางกลับมาที่อพาร์ตเมนต์อีกครั้งก็ยังได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหลานสาวอยู่เหมือนเดิม จนเวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง หลานสาวเริ่มร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีตำรวจมาช่วยเหลือเสียที ตนจึงตัดสินใจกลับไปโรงพักแจ้งความอีกรอบ หลังจากนั้น ตนก็ย้อนกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ แต่คราวนี้ปรากฏว่าเสียงเงียบไปแล้ว แต่ประตูห้องยังล็อกอยู่ ตนก็บอกให้ตำรวจพังประตูเข้าไปเลย จนกระทั่งพบว่าหลานสาวนอนแน่นิ่งกลายเป็นศพไปแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าหากตำรวจเดินทางมาเร็วกว่านี้หลานสาวตนคงจะไม่ตาย” นางชลธิชากล่าว
นางชลธิชา กล่าวด้วยว่า สำหรับนายชาญชัยนั้นทางครอบครัวตนไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน แต่ช่วงที่หลานสาวเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่ จ.สงขลา ก็เคยเล่าให้พวกตนฟังว่า นายชาญชัย เข้ามาติดพัน และพยายามข่มขู่หลายรอบ บางครั้งก็เคยพยายามลวนลามด้วย จนหลานสาวรู้สึกกลัว จึงปรึกษาสามีขอให้ช่วยทำเรื่องย้ายกลับไปทำงานที่ จ.สงขลา ซึ่งต้นสังกัดก็อนุมัติแล้ว กำลังหาสังกัดใหม่ลงอยู่ แต่ก็มาถูกฆ่าเสียก่อน ส่วนเรื่องจดหมายลาตายที่พบว่าเป็นลายมือของหลานสาวตน 1 แผ่นนั้น ตนเชื่อว่าน่าจะถูกนายชาญชัยบังคับให้เขียนแน่นอน เพราะหลานสาวเป็นคนโทรศัพท์ไปบอกสามีเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่หลานสาวจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับนายชาญชัย
ด้าน พ.ต.ท.ประเทือง สุขเกษม สวป.สน.ปทุมวัน ชี้แจงถึงเรื่องที่ญาติผู้ตายตำหนิการทำงานของตำรวจว่าเป็นไปอย่างล่าช้าจนผู้ตายถูกฆ่าตายว่า หลังจากญาติผู้ตายเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก ก็ได้มีการแจ้งวิทยุให้เจ้าหน้าที่สายตรวจเดินทางมาตรวจสอบทันที แต่เมื่อสายตรวจเดินทางมาถึงอพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุก็ไม่พบตัวญาติผู้ตายผู้แจ้งความแต่อย่างใด จึงเดินทางกลับไปโรงพัก จนกระทั่งญาติผู้ตายเดินทางกลับมาแจ้งความอีกรอบ จึงเดินทางออกมาพร้อมกับตน และร้อยเวรสายตรวจ แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าเสียงทะเลาะวิวาทภายในห้องนั้นเงียบไปแล้ว เคาะเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตอบ จึงประสานให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำชะแลงมาพังประตูห้องเข้าไปก็พบว่าฝ่ายหญิงเสียชีวิตแล้ว ส่วนฝ่ายชายนอนหายใจรวยรินอยู่กลางห้อง ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดจากความล่าช้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่น่าจะเกิดจากเจ้าหน้าที่สายตรวจที่เดินทางมาในรอบแรกนั้นไม่พบกับผู้แจ้ง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะญาติผู้ตายกลับไปโรงพักอีกรอบจึงทำให้คลาดกันมากกว่า
ล่าสุด ร.ต.ต.มนตรี คำขาว พนักงานสอบสวน ได้เรียกเพื่อนร่วมงานของ น.ส.สายชล คงแก้ว มาสอบปากคำ ให้การว่าผู้ตายรู้จักกับนายชาญชัย ซึ่งทำงานอยู่บริษัท โตโยต้า ที่ จ.ฉะเชิงเทรา มาประมาณปีกว่า โดยรู้จักกันทางเอ็มเอสเอ็นและติดต่อกันมาตลอด แต่ไม่เคยเจอกัน จนเมื่อกระทั่งเมื่อ น.ส.สายชล ได้หย่าร้างกับสามี จึงได้เริ่มคบหาดูใจกัน โดยนายชาญชัยเคยมาที่ทำงานของผู้ตายบางเป็นบ้างครั้ง ต่อมาภายหลัง น.ส.สายชลได้สืบทราบว่า นายชาญชัยมีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้ผู้ตายพยายามที่จะตีตัวออกห่าง แต่ถูกนายชาญชัยขู่ที่จะทำร้ายร่างกาย จึงได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ที่สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ น.ส.สายชล ยังได้อัดเสียงการข่มขู่ของนายชาญชัยไว้ด้วย และลงไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน
ส่วนด้านญาติ ของ น.ส.สายชล ได้เข้าให้ปากคำและติดต่อกับเจ้าหน้าทีเพื่อขอรับศพไปบำเพ็ญกุศล ที่ จ.สงขลา สำหรับอาการของนายชาญชัย ขณะนี้พักรักษาตัว รพ.จุฬา อาการสาหัส ยังไม่สามารถที่จะให้การได้
ขณะที่ พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนไปเฝ้าตัวนายชาญชัยที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ เพื่อรอดูอาการเนื่องจากบาดแผลนั้นสาหัส หากอาการดีขึ้นอย่างไรแล้วจะทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็จะแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนากับนายชาญชัย ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.