ศาลฎีกาประหารชีวิต “จ่ามี” อดีต ส.ส. กทม.พรรค ปชป. “ส.จ.รักษ์” วางระเบิดฆ่าแม่ “คมคาย พลบุตร” อดีต ส.ส.จันทบุรี ส่วนลูกน้องอีก 2 คนให้จำคุกตลอดชีวิต
ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (18 ก.ย.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีลอบวางระเบิดรถยนต์สังหารนางปัทมา เฟื่องประยูร มารดานางคมคาย พลบุตร อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ คดีดำ ด.1825/2544 คดีแดง อ.3978/2549 ที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีนางปัทมา ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสงค์ แสงจันทร์ หรือหมู แก่งคอย มือระเบิด ที่ 1 นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ อดีต ส.จ.เลย ที่ 2 นายสิทธิพร ขำอาจ หรือจ่ามี อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ 3 และจ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ ที่ 4 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธและอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2540 เวลา 10.45 น. นางปัทมา ผู้ตายได้ขับรถเบนซ์ของนายสนิท สามี ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจ.จันทบุรี ขณะรถกำลังเคลื่อนไปที่ลานจอดได้กระแทกพื้นซีเมนต์จนเกิดเหตุระเบิดทำให้เสียชีวิตทันที จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือจ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ (เสียชีวิตแล้ว) อดีตสายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำผิดว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2540 ร่วมกับนายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ นายสิทธิพร หรือจ่ามี และ จ.ส.อ.นิคม หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ จำเลยที่ 2-4 วางแผนฆ่านายสนิท สามีของผู้ตาย ที่ห้องสูทสถานอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง โดยนายกนกพล หรือเหน่ เยี่ยมเสน่ห์ พานายประสงค์ หรือหมู แก่งคอย จำเลยที่ 1 และนายโสภณ ปัทมานุช หรือแดงฟู ไปพบ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ เพื่อพาไปเฝ้าติดตามนายสนิทตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งวันที่ 5 ก.ย. 2540 เวลาประมาณ 01.00 น. นายประสงค์ หรือหมู แก่งคอย จำเลยที่ 1, นายเสน่ห์และนายโสภณได้แอบนำระเบิดไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถยนต์เบนซ์ของนายสนิท โดยได้กดรีโมตสังหารเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ระเบิดไม่ทำงานจึงล้มเลิกแผน กระทั่งวันรุ่งขึ้น (6 ก.ย. 2540) นางปัทมา ผู้ตายได้ขับรถเบนซ์คันดังกล่าวไปเรียนหนังสือ จนเกิดเหตุระเบิดขึ้และถึงแก่ความตายในที่สุด
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2549 ให้ประหารชีวิต นายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ จำเลยที่ 2 และนายสิทธิพร หรือ จ่ามี จำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้ใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่น ส่วนนาย ประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ. นิคม จำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเช่นกัน แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1ใน 3 จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 ไว้ตลอดชีวิต
ต่อมาจำเลยที่ 1- 3 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อ 13 พ.ค.2552 ยืนตามศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1-3 ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมหากันแล้ว เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2-3 อ้างว่า ไม่รู้จักกับจำเลยที่ 1 และนายกนกพล หรือเหน่ เยี่ยมเสน่ห์ นั้น โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าได้มอบโทรศัพท์มือถือให้กับช่างต่อเติมบ้านไปตั้งแต่เดือน เม.ย.2540 แล้วช่างคนดังกล่าวได้นำโทรศัพท์ไปให้บุคคลอื่นเพื่อชำระหนี้ ศาลเห็นว่าขัดต่อเหตุผล เพราะยังพบว่าจำเลยที่ 2 ยังชำระค่าบริการโทรศัพท์มือถือมาโดยตลอด ตามบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ในแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังมีบันทึกการใช้โทรศัพท์บ้านติดต่อกันระหว่างพวกจำเลย ระหว่างเดือน ส.ค.- ก.ย.2540 ส่วนจำเลยที่ 2-3 อ้างว่าไม่ได้เดินทางไปที่ห้องสูท สถานบริการอาบ อบ นวด มโนราห์ จ.ระยอง นั้น โจทก์มีบริกรสถานบริการอาบ อบ นวด มโนราห์ เบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลยที่ 2-3 ไปที่อาบ อบ นวด และยังสามารถชี้ตัวจำเลยได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีการชี้นำจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังมีผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี รวมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นพยานในการชี้ตัวด้วย ที่จำเลยที่ 3 อ้างถิ่นที่อยู่ว่า จำเลยไปเป็นเจ้าภาพงานศพนั้น ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏภาพถ่ายจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นส.ส.และเป็นเจ้าภาพไปร่วมงาน ขณะที่ภายในงานกลับมีภาพถ่ายส่วนอื่นๆ
ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่า การสอบสวนนั้นดำเนินการไม่ชอบ อ้างว่าขณะเกิดเหตุจำเลยเป็น ส.ส.เขตบางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ หนองแขม กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์ร่วมหรือผู้ตาย โดยจำเลยเป็นสมาชิกพรรคเดียวกันกับนาง คมคาย บุตรของผู้ตาย จำเลยถูกกลั่นแกล้งเนื่องจากทำงานการเมืองในเขตเดียวกับ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รมช.มหาดไทย ที่อยู่ต่างพรรคการเมือง ทำให้ถูกใส่ความดำเนินคดีนั้น ศาลเห็นว่า ในการสอบสวนได้มีการตั้งคณะสืบสวนสอบสวนทำคดี ที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมอยู่ด้วย โดยการดำเนินคดีชั้นสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่า ร.ต.อ. เฉลิม เข้าไปเกี่ยวข้อง คงมีเพียงนาย เสนาะ เทียนทอง รมว.มหาดไทย ที่ได้ไปฟังคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ซึ่งการดำเนินคดีจำเลยที่ 3 ก็มาจากคำให้การของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ และบริกรที่ดูแลห้องสวีท บี สถานอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ที่ยืนยันว่าเห็นจำเลยไปวางแผนฆ่าโจทก์ร่วม ฎีกาจำเลยที่ 1-3 ฟังไม่ขึ้นให้ประหารชีวิตสถานเดียว นายเอกสิทธิ์ หรือ ส.จ.รักษ์ จำเลยที่ 2 และ นายสิทธิพร หรือจ่ามี จำเลยที่ 3 ฐานจ้างวานฆ่า ส่วนนาย ประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ. นิคม จำเลยที่ 4 ให้จำคุกไว้ตลอดชีวิตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายกนกพล เยี่ยมเสน่ห์ หรือ “เหน่ ซีโฟร์” หนึ่งในจำเลย ถูกจับกุมตัวภายหลัง และถูกแยกฟ้องคนละสำนวน ในคดีดำ อ.2346/2544 นั้น เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2554 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว ส่วนนายโสภณ ปัทมานุช หรือแดงฟู ผู้ต้องหาอีกรายยังคงหลบหนีอยู่