ศาลตัดสินจำคุกแม่เลี้ยงใจยักษ์ 15 ปี ใช้แป๊บเหล็กกระหน่ำตีลูกเลี้ยงวัย 3 ขวบ แถมเทน้ำร้อนราดตัว จนทำให้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต ศาล ชี้ พยานแวดล้อมเห็นและแพทย์ตรวจพิสูจน์ยันโดยเฉพาะดีเอ็นเอที่ติดอยู่
วันนี้ (26 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณา 715 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีความผิดต่อชีวิต อ.3498/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.จุฑารัตน์ ทุมสุวรรณ์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/12 หมู่บ้านร่มไทร ซ.คลองลำเจียก 10 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.เป็นจำเลยในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 มิ.ย.- 31 ก.ค.2553 ต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยบังอาจใช้แป๊บเหล็กยาวประมาณ 20 นิ้ว และเข็มขัดหนังสีดำ เป็นอาวุธตีทำร้าย ด.ช.กฤตกวี หรือน้องบีม แสงสว่าง อายุ 3 ปี 6 เดือน ที่บริเวณศรีษะ ใบหน้า ลำตัว แขนขา หลายครั้ง ทำให้น้องบีม ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย และจำเลยยังใช้น้ำร้อนเทไปที่บริเวณลำตัวของน้องบีม ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ภายในบ้านพักย่านบึงกุ่ม กทม.โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีว่า เคยอยู่กินกับพ่อน้องบีมมาก่อน แต่เลิกรากันไปโดยฝ่ายชายไปแต่งงานใหม่ มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือ น้องบีม ต่อมาพ่อแม่น้องบีมเสียชีวิตไปทั้งคู่ โดยพ่อน้องบีมเป็นโรคปอด ส่วนแม่ผูกคอตาย งานศพพ่อน้องบีมตนได้ไปร่วมงาน และเห็นว่า น้องบีมหน้าตาน่ารัก ตนกับสามีไม่มีลูกด้วยกัน ทั้งย่าน้องบีม ต้องรับภาระเลี้ยงน้องบีมเพียงคนเดียว จึงไปขอน้องบีมมาเลี้ยง ส่วนสาเหตุที่น้องบีมเสียชีวิต เพราะดื่มน้ำอัดลมจนเกิดแน่นหน้าอก เมื่อตนเห็นจึงรีบไปบอกสามี ให้เข้ามาช่วยกันปฐมพยาบาล แต่น้องบีมหมดสติก่อนเสียชีวิตในที่สุด น้องบีมเป็นเด็กดื้อ ซนมาก ก็ตีบ้างเป็นการสั่งสอน ส่วนบาดแผลน้ำร้อนลวกเกิดจากน้องบีมวิ่งซนจนชนชามโจ๊กหกรดใส่ ซึ่งตนก็ซื้อยาทาให้
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานแวดล้อมคือนายนิกร จันทำ เพื่อนบ้าน เบิกความว่า ก่อนเสียชีวิต พยานเคยเห็นจำเลยทำร้ายใช้เท้าถีบ และใช้เท้าล็อกผู้ตายได้รับความเจ็บปวด นอกจากนี้แพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางหลายรายการเบิกความว่า ทั้งแป๊บเหล็ก เข็มขัดหนัง พบคราบเลือด และสารพันธุกรรม(ดีเอ็นเอ.)ของผู้ติดอยู่ ทั้งนี้พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัย จะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยให้ต้องรับโทษ คดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อพิเคราะห์สภาพศพผู้ตายแล้ว และช่วงเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายอยู่ด้วยกัน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนทำร้ายผู้ตาย จริง ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
พิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ให้จำคุก 15 ปี ริบของกลาง