ในปีหนึ่งจะมีเพียงไม่กี่เทศกาลที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศจะได้มีความสุขร่วมกัน โดยเฉพาะเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นวันหยุดยาว หลายคนจะได้เดินทางกลับบ้านไปพบปะญาติพี่น้องในต่างจังหวัด หรือออกเดินทางท่องเที่ยวไปกับครอบครัว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราต้องฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ มากมาย หากไม่นับรวมปัญหาทางการเมือง ปลายปี 2553 ที่เพิ่งผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ที่ช็อกคนไทยอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุ สาวไฮโซนามสกุลดัง ควบเก๋งซีวิคชนท้ายรถตู้โดยสารสายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต-สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิต จนทำให้ผู้โดยสารบางส่วนกระเด็นตกทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ และมีผู้เสียชีวิตรวมถึง 9 ศพ โดยเหยื่อจากเหตุการณ์นี้มีทั้งนักศึกษา ไปจนถึงผู้ช่วยคณบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความสะเทือนใจให้แก่คนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่ใช้บริการรถตู้ในการเดินทางไปทำงาน หรือเรียนหนังสือ ทำให้เกิดความหวาดหวั่นในการใช้บริการรถตู้ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยต่ำอยู่เป็นทุนเดิม รวมทั้งยิ่งรู้สึกโกรธแค้นเมื่อทราบว่าตีนผี ต้นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นสาวไฮโซ นามสกุล เทพหัสดิน ณ อยุธยา โดยเมื่อยิ่งเห็นภาพหลังเกิดเหตุที่เจ้าตัวไม่ได้แสดงความสะทกสะท้าน มายืนพิงขอบทางด่วนกดโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับทั้งญาติ เพื่อนผู้ตาย และประชาชนทั่วไป จนเกิดกระแสในสังคมออนไลน์ที่รุนแรงให้เธอ และครอบครัวออกมารับผิดชอบ
เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันที่เกิดเหตุ เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 27 ธ.ค. 2553 “วรทัศน์ กองทรัพย์โต” อดีตผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการรายวัน/ออนไลน์ ที่เดินทางไปทำข่าว ย้อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เหตุการณ์ในคืนนั้นค่อนข้างวุ่นวายกว่าปกติ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ ต้องทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะเหตุการณ์มีทั้งส่วนที่อยู่บนทางด่วน และถนนวิภาวดีรังสิต ด้านล่างที่ผู้โดยสารรถตู้ตกลงมาเสียชีวิต แต่เนื่องจากเป็นเวรกลางคืนมีทีมเดียว จึงต้องเลือกมาเก็บภาพด้านล่าง เพื่อเก็บภาพศพที่ตกลงมาจากทางด่วน โดยต้องเดินตั้งบริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปจนถึงสำนักงานปรมาณู เนื่องจากศพกระเด็นตกลงมากระจัดกระจาย
“สภาพศพที่เห็นแล้วสยดสยองที่สุดคงเป็นศพของนายศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ศพค้างอยู่บนสะพานลอยคนข้าม สภาพกะโหลกศีรษะเปิด เศษสมองร่วงไหลหล่นลงมาบนพื้นถนน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เชือกผูกไว้ กันร่างไร้วิญญาณร่วงหล่นลงมา ส่วนศพอื่นก็กระเด็นตกในไปคูข้างทางบ้างถนนบ้าง กว่าจะรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้ทั้งหมดต้องใช้เวลาถึงตี 2 ตี 3 เลยทีเดียว ส่วนชื่อคนขับซีวิคต้นเหตุรวมทั้งอายุขณะนั้นก็ยังมีความสับสน แต่ที่ชัดเจนคือนามสกุลดัง” วรทัศน์ย้อนรำลึกอดีตให้ฟัง
ในวันรุ่งขึ้น ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งญาติและเพื่อนเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ได้มารอรับศพ คงไม่ต้องบรรยายบรรยากาศว่าเศร้าสลดเพียงใด พ่อแม่น้องบางคนไม่ทราบว่าลูกตนเองเสียชีวิต เนื่องจากญาติช่วยกันปิดบัง เมื่อต้องมาเห็นศพลูกโดยไม่ได้ทำใจมาก่อน ต่างร่ำไห้ระงมเป็นลมล้มพับไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว จนเป็นที่สลดใจ ส่วนเพื่อนรวมสถาบันต่างพากันมายืนล้อมรอบศพและเปล่งเสียงร้องเพลงของคณะ ของมหาวิทยาลัยทั้งน้ำตา เป็นการไว้อาลัยให้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเพื่อนรักจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยอารมณ์ที่คละเคล้าทั้งความโกรธและเสียใจ
ด้านคดี พ.ต.ท.ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง พนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี ที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว ได้ออกมาเผยผลตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่าสามารถบันทึกภาพช่วงที่เกิดเหตุได้ว่า รถตู้วิ่งอยู่เลนกลางด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถเก๋งซีวิควิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูง แล้วเกิดเปลี่ยนเลน ไปทางขวากะทันหัน ทำให้ด้านหน้ารถเก๋งชนท้ายขวาของรถตู้อย่างแรง รถตู้หมุนหัวรถหันไปทาง ด้านซ้าย รถเก๋งซึ่งเสียหลักก็หมุนเช่นกัน ส่งผลให้ด้านข้างขวาของรถเก๋งกระแทกซ้ำเข้าไปที่ด้านซ้ายของรถตู้อย่างจัง ผลจากการชนซ้ำทำให้รถตู้กระแทกเข้าไปที่ขอบปูนอย่างรุนแรง จนด้านหน้าของรถตู้ฉีกขาด ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ภายในหลุดกระเด็นออกมาช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุนั้น รวมเพียงแค่ห้าถึงหกวินาทีเท่านั้น
อุบัติเหตุครั้งนั้น กลายเป็นประเด็นสนทนาเป็นอันมากในสังคมออนไลน์ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่พยายามค้นหาประวัติของ น.ส.อรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนขับรถซีวิคต้นเหตุ โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นเชิงลบ รุมประณามการที่เธอ ขับรถโดยประมาทและด้วยวัยเพียง 17 ปีที่ยังไม่สามารถมีใบขับขี่รถยนต์ได้ ตลอดจนกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ดำเนินคดี ต่างก็คาดเดากันว่า เพราะเธอเป็นลูกหลาน สกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา จึงหลุดพ้นคดีได้ แม้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กยังมีการตั้งกลุ่ม “มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ แพรวา (อรชร) เทพหัสดิน ณ อยุธยา” อีกทั้งคำสำคัญที่เกี่ยวกับอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่คนใช้ค้นหาประวัติในกูเกิลยังได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงดังกล่าวด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงเลยมาพอสมควร ผู้ที่ติดตามข่าวที่รอให้เธอออกมาตอบคำถามหลายอย่างที่ค้างคาใจกับสังคม แต่กลับมีเพียงสารแสดงความเสียใจจากสกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา และพ่อแม่ของเธอที่ออกมาพูด และมีเพียงแม่ที่ไปขอขมาศพของ นายศาสตรา ส่วนตัวเธอมีข่าวแสดงความรับผิดชอบเพียงครั้งเดียวว่า เธอและครอบครัวนำ “ขนมเปี๊ยะ” ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลวิภาวดี ในช่วงปีใหม่เท่านั้น แต่ก็ไม่มีสื่อใดที่ได้ภาพหรือพูดคุยกับเธอได้หลังจากเกิดเหตุ
“แพรวา” ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสื่อ พร้อมพ่อแม่และทนาย เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2554 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล หลังเกิดเหตุมาถึง 9 วัน เพื่อเข้ารับทราบ 2 ข้อหา คือ ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นได้รับความเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส และข้อหาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ พร้อมกับกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอโทษค่ะ หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอุบัติเหตุ”
หลังจากนั้น เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย โดยอัยการได้สั่งฟ้องศาลเยาชนและครอบครัวกลาง ใน 2 ข้อหาดังกล่าว เนื่องจากขณะก่อเหตุ เธอมีอายุเพียง 17 ปี โดยขั้นตอนอยู่ระหว่างการสืบพยาน ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาเป็นปี และทำในทางลับเนื่องจากเป็นเยาวชน โดยทางพ่อแม่ของเธอคงรอผลในส่วนนี้ ที่ครอบครัวและตัวเธอหวังว่าจะได้รับการลดโทษ เพื่อไปต่อสู้กับทีมทนายที่ ม.ธรรมศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อติดตามคดี ในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง
แม้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไรก็ตาม แต่ได้ให้บทเรียนสำคัญหลายอย่างกับสังคมไทย ประเด็นสำคัญคือ “คนไทยไม่ได้ลืมง่าย” อย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นเรื่องอยุติธรรมในสังคม ยิ่งปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วหลากหลาย การรวมพลังในสังคมออนไลน์ที่แสดงพลังให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า แม้เรื่องนี้จะผ่านมาครบ 1 ปี ก็ยังไม่ได้ลืมเลือน และหากคดีนี้จบไม่สวย อาจจะมีคนไทยอีกไม่น้อย ที่จะรวมตัวกันเพื่อทวงความยุติธรรมให้สังคม โดย่เฉพาะผู้เสียชีวิตทั้ง 9 ศพ
ไพโรจน์ รุ่งเรือง
เหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความสะเทือนใจให้แก่คนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่ใช้บริการรถตู้ในการเดินทางไปทำงาน หรือเรียนหนังสือ ทำให้เกิดความหวาดหวั่นในการใช้บริการรถตู้ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยต่ำอยู่เป็นทุนเดิม รวมทั้งยิ่งรู้สึกโกรธแค้นเมื่อทราบว่าตีนผี ต้นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นสาวไฮโซ นามสกุล เทพหัสดิน ณ อยุธยา โดยเมื่อยิ่งเห็นภาพหลังเกิดเหตุที่เจ้าตัวไม่ได้แสดงความสะทกสะท้าน มายืนพิงขอบทางด่วนกดโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับทั้งญาติ เพื่อนผู้ตาย และประชาชนทั่วไป จนเกิดกระแสในสังคมออนไลน์ที่รุนแรงให้เธอ และครอบครัวออกมารับผิดชอบ
เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันที่เกิดเหตุ เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 27 ธ.ค. 2553 “วรทัศน์ กองทรัพย์โต” อดีตผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการรายวัน/ออนไลน์ ที่เดินทางไปทำข่าว ย้อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เหตุการณ์ในคืนนั้นค่อนข้างวุ่นวายกว่าปกติ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ ต้องทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะเหตุการณ์มีทั้งส่วนที่อยู่บนทางด่วน และถนนวิภาวดีรังสิต ด้านล่างที่ผู้โดยสารรถตู้ตกลงมาเสียชีวิต แต่เนื่องจากเป็นเวรกลางคืนมีทีมเดียว จึงต้องเลือกมาเก็บภาพด้านล่าง เพื่อเก็บภาพศพที่ตกลงมาจากทางด่วน โดยต้องเดินตั้งบริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปจนถึงสำนักงานปรมาณู เนื่องจากศพกระเด็นตกลงมากระจัดกระจาย
“สภาพศพที่เห็นแล้วสยดสยองที่สุดคงเป็นศพของนายศาสตรา เช้าเที่ยง นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ศพค้างอยู่บนสะพานลอยคนข้าม สภาพกะโหลกศีรษะเปิด เศษสมองร่วงไหลหล่นลงมาบนพื้นถนน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เชือกผูกไว้ กันร่างไร้วิญญาณร่วงหล่นลงมา ส่วนศพอื่นก็กระเด็นตกในไปคูข้างทางบ้างถนนบ้าง กว่าจะรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้ทั้งหมดต้องใช้เวลาถึงตี 2 ตี 3 เลยทีเดียว ส่วนชื่อคนขับซีวิคต้นเหตุรวมทั้งอายุขณะนั้นก็ยังมีความสับสน แต่ที่ชัดเจนคือนามสกุลดัง” วรทัศน์ย้อนรำลึกอดีตให้ฟัง
ในวันรุ่งขึ้น ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งญาติและเพื่อนเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ได้มารอรับศพ คงไม่ต้องบรรยายบรรยากาศว่าเศร้าสลดเพียงใด พ่อแม่น้องบางคนไม่ทราบว่าลูกตนเองเสียชีวิต เนื่องจากญาติช่วยกันปิดบัง เมื่อต้องมาเห็นศพลูกโดยไม่ได้ทำใจมาก่อน ต่างร่ำไห้ระงมเป็นลมล้มพับไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว จนเป็นที่สลดใจ ส่วนเพื่อนรวมสถาบันต่างพากันมายืนล้อมรอบศพและเปล่งเสียงร้องเพลงของคณะ ของมหาวิทยาลัยทั้งน้ำตา เป็นการไว้อาลัยให้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเพื่อนรักจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยอารมณ์ที่คละเคล้าทั้งความโกรธและเสียใจ
ด้านคดี พ.ต.ท.ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง พนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี ที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว ได้ออกมาเผยผลตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่าสามารถบันทึกภาพช่วงที่เกิดเหตุได้ว่า รถตู้วิ่งอยู่เลนกลางด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถเก๋งซีวิควิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูง แล้วเกิดเปลี่ยนเลน ไปทางขวากะทันหัน ทำให้ด้านหน้ารถเก๋งชนท้ายขวาของรถตู้อย่างแรง รถตู้หมุนหัวรถหันไปทาง ด้านซ้าย รถเก๋งซึ่งเสียหลักก็หมุนเช่นกัน ส่งผลให้ด้านข้างขวาของรถเก๋งกระแทกซ้ำเข้าไปที่ด้านซ้ายของรถตู้อย่างจัง ผลจากการชนซ้ำทำให้รถตู้กระแทกเข้าไปที่ขอบปูนอย่างรุนแรง จนด้านหน้าของรถตู้ฉีกขาด ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ภายในหลุดกระเด็นออกมาช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุนั้น รวมเพียงแค่ห้าถึงหกวินาทีเท่านั้น
อุบัติเหตุครั้งนั้น กลายเป็นประเด็นสนทนาเป็นอันมากในสังคมออนไลน์ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่พยายามค้นหาประวัติของ น.ส.อรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนขับรถซีวิคต้นเหตุ โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นเชิงลบ รุมประณามการที่เธอ ขับรถโดยประมาทและด้วยวัยเพียง 17 ปีที่ยังไม่สามารถมีใบขับขี่รถยนต์ได้ ตลอดจนกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ดำเนินคดี ต่างก็คาดเดากันว่า เพราะเธอเป็นลูกหลาน สกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา จึงหลุดพ้นคดีได้ แม้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กยังมีการตั้งกลุ่ม “มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ แพรวา (อรชร) เทพหัสดิน ณ อยุธยา” อีกทั้งคำสำคัญที่เกี่ยวกับอรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่คนใช้ค้นหาประวัติในกูเกิลยังได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงดังกล่าวด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงเลยมาพอสมควร ผู้ที่ติดตามข่าวที่รอให้เธอออกมาตอบคำถามหลายอย่างที่ค้างคาใจกับสังคม แต่กลับมีเพียงสารแสดงความเสียใจจากสกุลเทพหัสดิน ณ อยุธยา และพ่อแม่ของเธอที่ออกมาพูด และมีเพียงแม่ที่ไปขอขมาศพของ นายศาสตรา ส่วนตัวเธอมีข่าวแสดงความรับผิดชอบเพียงครั้งเดียวว่า เธอและครอบครัวนำ “ขนมเปี๊ยะ” ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลวิภาวดี ในช่วงปีใหม่เท่านั้น แต่ก็ไม่มีสื่อใดที่ได้ภาพหรือพูดคุยกับเธอได้หลังจากเกิดเหตุ
“แพรวา” ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสื่อ พร้อมพ่อแม่และทนาย เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2554 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล หลังเกิดเหตุมาถึง 9 วัน เพื่อเข้ารับทราบ 2 ข้อหา คือ ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นได้รับความเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส และข้อหาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ พร้อมกับกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอโทษค่ะ หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอุบัติเหตุ”
หลังจากนั้น เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย โดยอัยการได้สั่งฟ้องศาลเยาชนและครอบครัวกลาง ใน 2 ข้อหาดังกล่าว เนื่องจากขณะก่อเหตุ เธอมีอายุเพียง 17 ปี โดยขั้นตอนอยู่ระหว่างการสืบพยาน ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาเป็นปี และทำในทางลับเนื่องจากเป็นเยาวชน โดยทางพ่อแม่ของเธอคงรอผลในส่วนนี้ ที่ครอบครัวและตัวเธอหวังว่าจะได้รับการลดโทษ เพื่อไปต่อสู้กับทีมทนายที่ ม.ธรรมศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อติดตามคดี ในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง
แม้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไรก็ตาม แต่ได้ให้บทเรียนสำคัญหลายอย่างกับสังคมไทย ประเด็นสำคัญคือ “คนไทยไม่ได้ลืมง่าย” อย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นเรื่องอยุติธรรมในสังคม ยิ่งปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วหลากหลาย การรวมพลังในสังคมออนไลน์ที่แสดงพลังให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า แม้เรื่องนี้จะผ่านมาครบ 1 ปี ก็ยังไม่ได้ลืมเลือน และหากคดีนี้จบไม่สวย อาจจะมีคนไทยอีกไม่น้อย ที่จะรวมตัวกันเพื่อทวงความยุติธรรมให้สังคม โดย่เฉพาะผู้เสียชีวิตทั้ง 9 ศพ
ไพโรจน์ รุ่งเรือง