"วัวหายล้อมคอก" สำนวนไทยที่ยังใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน หมายถึง ของหายแล้วจึงจะเริ่มป้องกัน หรือเรื่องเกิดขึ้นแล้วจึงคิดแก้ไข แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่า
จากเหตุคนร้ายเป็นชาย 2 คน บุกเข้าไปชิงทองร้านทองแสงทองสุก ย่านท่าดินแดง เขตคลองสาน และยิงเจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บ โดยเหตุเกิดที่ร้านห้างทองแสงทองสุก เลขที่ 326 ถนนท่าดินแดง แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่คนร้าย ลงมือก่อเหตุโดยมีดูลาดเลาไว้แล้วก่อนจะลงมือ รวมทั้งยังรู้เวลาเปิด-ปิดของร้านด้วยว่า ร้านจะเปิดและปิดกี่โมง เพราะคนร้ายเห็นว่าร้านทองร้านนี้ ต่างจากร้านอื่น ซึ่งน่าจะลงมือก่อเหตุได้ง่าย เนื่องจากไม่มีการป้องกันที่แน่นหนาพอแต่อย่างใด
ในที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 1 คูหา ด้านหน้าร้านมีการก่อกำแพงขึ้น เพื่อกันน้ำท่วมมีความสูงประมาณ 30 ซม. อยู่ในแหล่งที่มีผู้คนผ่านไป ทั้งนี้ ทางตำรวจได้ทำการตรวจสอบภายในร้านมีร่องรอยการถูกรื้อค้น และมีรอยกระสุนจากการยิงที่ตู้ทอง บริเวณเคาร์เตอร์ของร้านที่เป็นกระจกถูกทุบด้วยของแข็งจนกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วได้กวาดทองที่มีในตู้ใส่ถาด จำนวน 2 ถาดใหญ่ นอกจากนี้ยังพบกองเลือดของเจ้าของร้านทั้งสองที่ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงกระจายอยู่ภายในร้าน
เบื้องต้นจากการตรวจสอบทราบว่า ทองรูปพรรณที่แขวนโชว์นั้น ได้มีบางส่วนหายไป มีประมาณ 30-40 บาท ซึ่งยังไม่สามารถระบุเป็นจำนวนที่แน่ชัดได้ ส่วนบริเวณที่เกิดเหตุมีเศษกระสุนขนาด .32 ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เหตุการณ์ในครั้งนั้น นายไพรวุฒิ ปาริสุทธิพงศ์ อายุ 53 ปี เจ้าของร้าน ถูกยิงเข้าที่บริเวณไหปลาร้าซ้าย กรามซ้ายทะลุลิ้น และ นางปราณี ปาริสุทธิพงศ์ 50 ปี ภรรยา ถูกยิงเข้าที่บริเวณต้นขาซ้าย โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต
นางปราณี ภรรยาเจ้าของร้าน ให้การไว้ว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ได้ออกมาเปิดร้านตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน จากนั้น มีชายวัยรุ่น อายุประมาณ 25-30 ปี จำนวน 2 คน แต่งกายชุดดำ สวมหมวกกันน็อกนิรภัย ปกปิดใบหน้ามิดชิด ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าร้าน จากนั้นคนซ้อนท้ายเดินเข้ามาในร้าน แล้วชักปืนจ่อมาที่ตนและสามี พร้อมทั้งตะโกนว่า “หมอบลง ” ตนกับสามีก็ทำตาม ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่คนร้ายเห็นว่าสามีตนพยายามขยับตัว จึงเข้าใจว่าสามีจะต่อสู้และขัดขืน จึงยิงใส่จำนวน 1 นัด และยิงใส่ตนอีก 1 นัด แล้วกระโดดข้ามเคาน์เตอร์เข้าไปกวาดทองภายในตู้โชว์ใส่กระเป๋าเป้ที่เตรียมมา และจังหวะที่คนร้ายกำลังจะเดินออกมายังร้าน กลับหันมายิงใส่สามีตนอีก 1 นัด ก่อนขึ้นกระโดดซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จอดรออยู่หลบหนีไปอย่างลอยนวล พร้อมทองอีกจำนวนมาก
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ย่านดังกล่าว เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด แล้วคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชาวบ้าน พยายามที่จะนำกล้องมาถ่ายป้ายทะเบียนรถเอาไว้ แต่ไม่ทัน คนร้ายจึงหลบหนีไปได้ลอยนวล
คดีนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ กล่าวคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ของสน.สมเด็จเจ้าพระยา คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้ถึงเพิ่งมาเกิดขึ้นในพื้นที่สน.สมเด็จเจ้าพระยา เป็นเพราะอะไร หรือจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความหละหลวม ไม่เคร่งครัดพอเหมือนแต่ก่อนหรือไม่ และบวกกับทางร้านทองเองที่ไม่ได้ระวังป้องกันเป็นพิเศษเหมือนร้านอื่นๆ แถมยังไม่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอีก จึงไม่สามารถแกะรอยรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย เพื่อหาเบาะแสคนร้าย และบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะก่อเหตุได้ จึงเหมือนเป็นการเปิดช่องทาง เปิดโอกาสให้คนร้ายลงมือก่อเหตุขึ้นได้อย่างง่ายดาย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เข้าทางโจร” ซ้ำยังยิงเจ้าของร้านบาดเจ็บสาหัสไป 2 คน หนึ่งในนั้นก็มีผู้หญิง ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าของร้านด้วย
การมีกิจการเป็นร้านทองที่มีทองอยู่ในร้านเป็นจำนวนมากนั้น ถือได้ว่าเป็นเหมือนมีขุมทรัพย์ขุมใหญ่ที่ล่อตาล่อใจคนร้าย เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ อาจจะด้วยปัจจัยหลายอย่างกันไป ที่ทำให้คนร้ายเกิดความอยากได้ อยากมีทองเหล่านั้น มาครอบครอง หรืออาจจะด้วยปัจจัยที่มีความจำเป็นจะต้องมาลงมือก่อเหตุ และท้ายสุดอาจจะด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ท้ายสุด คดีชิงทรัพย์ร้านทองแสงทองสุก ย่านท่าดินแดง เขตคลองสาน น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้ประกอบการร้านทองได้ไม่มากก็น้อย ในเรื่องของการระวัง ป้องกัน และความไม่ประมาท รวมถึงการชะล่าใจ โดยเห็นว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับร้านของตน ทั้งๆที่เปิดกิจการมานานแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่ได้ระวังอะไรมากนัก
ส่วนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา ที่เพิ่งเคยมีเหตุชิงร้านทองเกิดขึ้นในท้องที่นี้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีนั้น จะถือว่าเป็นความชะล่าใจ ไม่เฝ้าระวังเหมือนแต่ก่อนมา เช่นเดียวกับร้านทองดังกล่าวนี้ด้วยหรือไม่ คงต้องพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นด้วยว่า มีความสอดคล้องกันหรือไม่ ใครบกพร่อง แต่ทุกเหตุผล ได้ทำให้เกิดการสูญเสียขึ้นแล้ว