ศาลจังหวัดมีนบุรี สั่งจำคุก 23 ปี นร.เทคโนบางกะปิ ร่วมกับพวก ดักยิงคู่อริ กระสุนพลาดถูกนักเรียน ป.3 เสียชีวิตบนรถเมล์สาย 113 ศาลปรานีลดโทษให้ 1 ใน 4 เหลือคุก 17 ปี 3 เดือน สั่งจ่ายสินไหมทดแทนแม่เหยื่อ 1 แสน
วันนี้ (7 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายปริวรรต หรือ ติ๊บ เลาะภูมี อายุ 20 ปี อดีตนักศึกษาชั้นปี 3 โรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปิ จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เป็นเวลา 20 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันพกพาอาวุธปืน จำคุก 1 ปี รวมจำคุกเป็นเวลา 23 ปี
คดีนี้พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด และ นางอังศุ ขำวงศ์ มารดา ด.ช.จตุพร ผลผกา อายุ 9 ปี ผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง สรุปว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 จำเลยกับ นายธงชัย หรือ แชมป์ ลีเลิศพันธ์ อายุ 17 ปี อดีตนักศึกษาชั้นปี 2 แผนกช่างยนต์ ร.ร.เทคโนโลยีบางกะปิ ซึ่งเป็นเยาวชนและถูกแยกดำเนินคดีต่างหากแล้ว ร่วมกันมีอาวุธปืนพกลูกซองไม่มีทะเบียนพร้อมกระสุนปืนหลายนัด ติดตัวไปตามถนนรามคำแหง บริเวณปากซอยรามคำแหง 166 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นถนนสาธารณะ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิง ด.ช.จตุพร ผลผกา อายุ 9 ปี ผู้ตายซึ่งเป็นนักเรียน ป.3 โรงเรียนวัดบำเพ็ญเหนือ ขณะนั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทาง เพื่อไปเรียนหนังสือ โดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณหน้าผาก ทะลุเข้าสมองถึงแก่ความตาย จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2553 จำเลยกับพวก ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปิ ได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอาจารย์ จนถึงเช้าวันที่ 1 กันยายน 2553 จึงเดินออกมาที่บริเวณปากซอยรามคำแหง 166 โดยจำเลยขี่รถจักรยานยนต์ไปเติมน้ำมันแล้วกลับมา เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่รถโดยสารประจำทางสาย 113 ซึ่งมีนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ ร่วมโดยสารมาถึงปากซอยดังกล่าว พวกจำเลยจึงได้วิ่งตามรถประจำทางไป ส่วน นายธงชัย ซึ่งอยู่ที่ป้ายรถประจำทางได้ใช้อาวุธปืนของกลางยิงขึ้นไปบนรถ 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นไปตรวจค้นบ้านจำเลย พบอาวุธปืนที่นายธงชัยใช้กระทำผิด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ว่า จำเลยร่วมกับ นายธงชัย กระทำผิดหรือไม่ เห็นว่า ได้ความจากพยาน ซึ่งเป็นเพื่อนของจำเลยให้การว่า หลังจากที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปเติมน้ำมันใกล้สามแยกบัวขาว แล้วขับรถกลับมาบอกกับเพื่อนที่อยู่ปากซอยรามคำแหง 166 ว่า ถูกนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ ที่โดยสารมาบนรถประจำทางสาย 113 ไล่มา เมื่อรถประจำทางมาถึง จำเลยได้บอกกับกลุ่มเพื่อนว่า “คันนี้แหละ” พยานกับพวกจึงวิ่งไล่ตามไปขว้างปาก้อนหิน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เห็น นายธงชัย ลดระดับอาวุธปืนที่ถือเล็งไปทางรถ แล้วมีคนตะโกนว่ามีเด็กถูกยิง ส่วนจำเลยคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ ซึ่งพยานกลุ่มนี้เป็นเพื่อนของจำเลยต้องรับฟังประกอบกับพยานอื่นด้วย
ขณะที่ พ.ต.ต.สมคิด ประเชิญสุข สว.สส.สน.มีนบุรี เบิกความประกอบแผนที่เกิดเหตุและภาพถ่ายว่า ถัดจากซอยรามคำแหง 166 ไปประมาณ 200 เมตร มีปั๊มน้ำมันบางจาก ซึ่งขณะเกิดเหตุเปิดให้บริการอยู่ ไม่จำเป็นต้องขับรถไปไกลกว่า 2 กิโลเมตรเศษ ถึงสามแยกบัวขาว ซึ่งในสภาพการณ์ที่จำเลยกับพวกดื่มสุรา และอดนอนมาทั้งคืนเช่นนั้น จึงเห็นได้ว่า หากจำเลยต้องการจะกลับบ้านจริง ก็สามารถทำได้ ประกอบกับคำเบิกความของพยาน ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนของจำเลยรายหนึ่ง รับว่า เคยถูกนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ ดักยิงบนรถโดยสาร และขว้างปาซึ่งของใส่เป็นประจำ และพยานกับพวกทราบดีว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่นักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ จะต้องขึ้นรถโดยสารไปเรียนหนังสือ ทำให้น่าเชื่อว่า จำเลยกับพวกต่างทราบดีว่า นายธงชัย มีอาวุธปืนติดตัว และได้ร่วมกันสมคบคิดกันไปยังปากซอยรามคำแหง 166 แล้วว่า จะออกไปดังยิงนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ ที่ขึ้นรถโดยสารมา หาใช่เดินออกมาเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
จากนั้นจำเลยก็ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ออกไปที่บริเวณสามแยกบัวขาว เพื่อดูต้นทาง เมื่อเห็นรถโดยสารประจำทางสาย 113 คันเกิดเหตุแล่นผ่านสามแยกบัวขาวมา โดยมีนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ โดยสารมาในรถ จึงขับแซงขึ้นไปบอกให้ นายธงชัย กับพวกที่ยืนรออยู่ปากซอยรามคำแหง 166 โดยบอกว่า “คันนี้แหละ” จากนั้นพวกของจำเลยจึงวิ่งไล่ตามไปขว้างปาสิ่งของและใช้อาวุธปืนยิง พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยประกอบข้อเท็จจริงที่ว่า หลังเกิดเหตุจำเลยรับฝากอาวุธปืนไว้จากนายธงชัย แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบดีว่า นายธงชัย มีอาวุธปืนติดตัวและสมคบกันก่อเหตุดังกล่าว
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อาญา ม.83, 288, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อาญา ม.91 แม้ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปีเศษ แต่เรียนหนังสือในระดับ ปวช.3 และรู้สึกผิดชอบชั่วดีเช่นเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว จำเลยควรว่ากล่าวตักเตือน และห้ามปรามมิให้นักเรียนรุ่นน้องทำตามค่านิยมที่ผิดในเรื่องสถาบันการศึกษาตามที่รัฐบาลได้จัดโครงการรณรงค์เรื่องดังกล่าวในโรงเรียนอาชีวะเสมอมา แต่จำเลยกลับส่งเสริมและร่วมกระทำผิดดังเช่นอันธพาลกับนักเรียนรุ่นน้องเสียเอง เป็นเหตุให้เด็กนักเรียนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนต้องถึงแก่ความตาย อีกทั้งจำเลยไม่รู้สึกสำนึกในการกระทำผิด ไม่บรรเทาผ6ลร้ายแห่งคดี จึงไม่สมควรลดโทษ จึงให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเป็นเวลา 20 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันพกพาอาวุธปืน จำคุก 1 ปี รวมจำคุกเป็นเวลา 23 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 4 ตาม ป.อาญา ม.78 คงจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลา 17 ปี 3 เดือน กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเป็นค่าปลงศพ 100,000 บาท แก่โจทก์ร่วมด้วย