หน่วยงานกระบวนการยุติธรรม 5 ฝ่าย ถกความพร้อมรับมือน้ำท่วม แจงศาลยังให้บริการปกติ หากพื้นที่ใดน้ำท่วมทำการไม่ได้ก็ต้องเลื่อนคดีออกไป และจะนัดใหม่อีกครั้ง
วันนี้ (19 ต.ค.) เวลา 09.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.พร้อมผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม 5 ฝ่าย ได้แก่ ศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาทนายความ ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการความร่วมมือของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ 3 ตามวาระการประชุม ได้แก่ สัปดาห์รณรงค์เพื่อยุติการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทย การฝากขังผู้ต้องหาทางระบบอิเลกทรอนิกส์ หรือฝากขังออนไลน์ และหารือแนวทางในการดำเนินคดีของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในเขตพื้นที่ประสบอุทกภัย
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ทางกระบวนการยุติธรรม คือ คู่ความ ที่มีคดีฟ้องร้องดำเนินการอยู่ นั้น โดยศาลในพื้นที่ที่น้ำท่วมยังเปิดทำการปกติ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น ศาล ตำรวจ อัยการ ทนายความ ยังให้บริการประชาชนเช่นเดิม หากคู่ความเดินทางมาไม่ได้ และศาลไม่สามารถทำการสืบพยานในท้องที่นั้นได้ คดีจะถูกเลื่อนออกไป และศาลก็จะนัดใหม่
“การรณรงค์เพื่อยุติการกระทำความรุนแรงต่อสตรี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงรับเป็นองค์ทูตสันถวไมตรี ขององค์การสหประชาชาติ ได้เป็นผู้นำในการรณรงค์ยุติความรุนแรง และได้รับการถวายรางวัลเกียรติยศจากสหประชาชาติ ในฐานะที่เป็นผู้นำทั่วโลกที่ได้รับการโหวตคะแนนสูงสุด เมื่อปีที่ผ่านมา และทุกวันที่ 25 พ.ย.ของทุกปี ถือว่าเป็นวันขจัดความรุนแรงของสตรีสากล สำหรับปีนี้ประเทศไทยได้มีการจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 21-25 พ.ย.นี้ โดยหน่วยงานหลักประกอบด้วย หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด กระทรวงพัฒนาสังคมฯ สำนักงานกิจการสตรี ซึ่งมีการแข่งขันตอบปัญหาระดับมัธยมทั่วประเทศ จัดนิทรรศการเผยแพร่ ว่าการกระทำความรุนแรงต่อสตรีเป็นภัย บ่อนทำลายความมั่นคงของครอบครัว สังคม ประเทศชาติ” โฆษกศาลยุติธรรม กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า กรณีการฝากขังผู้ต้องหาโดยผ่านระบบอิเลกทรอนิกส์ผ่านระบบภาพและเสียง ซึ่งได้มีการใช้ไปบ้างแล้วในบางจังหวัด เช่น อุตรดิตถ์ ในที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าเป็นระบบที่ดี เป็นการประหยัดเวลาและปลอดภัยที่ไม่ต้องนำตัวผู้ต้องหาเดินทางไปกลับเป็นระยะทางไกลๆ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีเวลาไปทำภารกิจอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่า