3 สาวแจ้งจับหนุ่มใหญ่แสบอ้างเป็นนักธุรกิจลูกครึ่ง รวยแสนล้าน หลอกยืมเงิน โดยติดต่อรู้จักกันทางเว็บหาคู่ เผย หญิงสาวตกเป็นเหยื่อ 30 ราย สูญเงินรวมกันนับแสนบาท โดยมารู้ภายหลังมีเมียเป็นพรวน
วันนี้ (12 ก.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.30 น. น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี (นามสมมติ) เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวน (สบ2) กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจักรรินทร์ วิมานเมฆินทร์ อายุ 42 ปี ในความผิดฐานฉ้อโกง หลังจากอ้างตัวว่าชื่อ นายโยชิดะ ซึโตมุ หรือ ริชาร์ต เป็นนักธุรกิจลูกครึ่งญี่ปุ่น-เกาหลี โดยทำธุรกิจด้านการโรงแรม อู่ต่อเรือ และธุรกิจอีกหลายอย่างอยู่ใน 8 ประเทศทั่วโลก ก่อนจะหลอกลวงยืมเงินแล้วหลบหนีไป สร้างความเสียหายนับแสนบาท เบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 30 ราย
น.ส.เอ กล่าวว่า รู้จักกับ นายจักรรินทร์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.dateinasia.com ซึ่งบริการจัดหาคู่ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีความสนใจในข้อมูลเกี่ยวกับตัว นายจักรรินทร์ ซึ่งอ้างว่า เป็นหนุ่มลูกครึ่ง มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่น แม่เป็นชาวเกาหลี และทำธุรกิจหลายอย่าง มีฐานะมั่นคง ซึ่งต้องการหาหญิงสาวที่จะคบหาและแต่งงานด้วย จึงติดต่อกันเรื่อยมาโดยมีการคุยกันผ่านโปรแกรมแชท เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน นายจักรรินทร์ ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ตนและนัดหมายมาพบกัน ก่อนจะพูดจาหว่านล้อม ออดอ้อนว่ามีความพร้อมทุกอย่างขาดเพียงคนที่จะคบหาเป็นแฟนและแต่งงานกัน จึงอยากทำความรู้จักตนและคนครอบครัวของตนให้มากขึ้น
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่ นายจักรรินทร์ เข้ามาสร้างความสนิทสนมจะสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการพาไปเที่ยว และดูแลอย่างดี จึงรู้สึกไว้เนื้อเชื้อใจมากขึ้นโดยไม่ได้ระแคะระคาย ว่า เขาจะมีพฤติกรรมเช่นเดียวกันนี้กับหญิงสาวคนอื่นๆ ด้วย ต่อมา นายจักรรินทร์ ได้เอ่ยปากขอหยิบยืมเงินจากตน โดยอ้างว่า ธุรกิจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทัน เนื่องจากเงินในธนาคารที่มีอยู่ 4 บัญชี รวมแล้วกว่า 5 หมื่นล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 แสนล้านบาท ถูกธนาคารในต่างประเทศอายัดไว้ ไม่สามารถเบิกเงินมาใช้ได้ ตนเห็นว่า เป็นเรื่องที่พอช่วยเหลือได้ จึงหลงเชื่อยอมโอนเงินไปให้มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ที่มีเงินอยู่ในเวลานั้น รวมแล้วเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท ภายหลังจึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก เงินที่ตนโอนไป นายจักรรินทร์ กลับนำไปเลี้ยงดูหญิงสาวรายอื่น เหมือนเช่นที่เคยทำกับผู้หญิงรายก่อนหน้านี้มาแล้ว
น.ส.เอ กล่าวด้วยว่า เท่าที่ได้ติดตามสืบหาข้อมูล จึงรู้ว่า นายจักรรินทร์ มีครอบครัวและลูกอยู่ที่ จ.อุดรธานี 2 คน ที่ จ.อุบลราชธานี 1 คน ที่ จ.เลย 1 คน และที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อีก 1 คน นอกจากนี้ ยังมีหญิงสาวที่ตั้งท้องกับนายจักรรินทร์ ที่พัทยา อีกคนหนึ่งด้วย แต่ทั้งหมดนายจักรรินทร์ ไม่เคยยอมรับว่าเป็นลูกของตัวเองเลย
“เมื่อฉันทราบเรื่อง และได้พบกับหญิงสาวที่ถูกนายจักรรินทร์ หลอกลวงจึงปรึกษากัน ก่อนจะเข้าแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าว แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่รับแจ้ง โดยระบุว่า เป็นเรื่องทางแพ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้จะอยากได้เงินคืนก็ตาม แต่หากไม่รีบออกมาเปิดเผยพฤติกรรมของนายจักรรินทร์ ก็อาจมีหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อหนุ่มเจ้าเล่ห์รายนี้และสร้างความเสียหายเกิดขึ้นต่อไปอีก จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่ บก.ป.” น.ส.เอ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้แล้ว ส่วนการพิจารณาดำเนินคดีคงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้งว่าเข้าข่ายความผิดอาญา หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะรับเรื่องไว้ดำเนินคดีหรือไม่ โดยเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
วันนี้ (12 ก.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.30 น. น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี (นามสมมติ) เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวน (สบ2) กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจักรรินทร์ วิมานเมฆินทร์ อายุ 42 ปี ในความผิดฐานฉ้อโกง หลังจากอ้างตัวว่าชื่อ นายโยชิดะ ซึโตมุ หรือ ริชาร์ต เป็นนักธุรกิจลูกครึ่งญี่ปุ่น-เกาหลี โดยทำธุรกิจด้านการโรงแรม อู่ต่อเรือ และธุรกิจอีกหลายอย่างอยู่ใน 8 ประเทศทั่วโลก ก่อนจะหลอกลวงยืมเงินแล้วหลบหนีไป สร้างความเสียหายนับแสนบาท เบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 30 ราย
น.ส.เอ กล่าวว่า รู้จักกับ นายจักรรินทร์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.dateinasia.com ซึ่งบริการจัดหาคู่ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีความสนใจในข้อมูลเกี่ยวกับตัว นายจักรรินทร์ ซึ่งอ้างว่า เป็นหนุ่มลูกครึ่ง มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่น แม่เป็นชาวเกาหลี และทำธุรกิจหลายอย่าง มีฐานะมั่นคง ซึ่งต้องการหาหญิงสาวที่จะคบหาและแต่งงานด้วย จึงติดต่อกันเรื่อยมาโดยมีการคุยกันผ่านโปรแกรมแชท เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน นายจักรรินทร์ ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ตนและนัดหมายมาพบกัน ก่อนจะพูดจาหว่านล้อม ออดอ้อนว่ามีความพร้อมทุกอย่างขาดเพียงคนที่จะคบหาเป็นแฟนและแต่งงานกัน จึงอยากทำความรู้จักตนและคนครอบครัวของตนให้มากขึ้น
น.ส.เอ กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่ นายจักรรินทร์ เข้ามาสร้างความสนิทสนมจะสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการพาไปเที่ยว และดูแลอย่างดี จึงรู้สึกไว้เนื้อเชื้อใจมากขึ้นโดยไม่ได้ระแคะระคาย ว่า เขาจะมีพฤติกรรมเช่นเดียวกันนี้กับหญิงสาวคนอื่นๆ ด้วย ต่อมา นายจักรรินทร์ ได้เอ่ยปากขอหยิบยืมเงินจากตน โดยอ้างว่า ธุรกิจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทัน เนื่องจากเงินในธนาคารที่มีอยู่ 4 บัญชี รวมแล้วกว่า 5 หมื่นล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 แสนล้านบาท ถูกธนาคารในต่างประเทศอายัดไว้ ไม่สามารถเบิกเงินมาใช้ได้ ตนเห็นว่า เป็นเรื่องที่พอช่วยเหลือได้ จึงหลงเชื่อยอมโอนเงินไปให้มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ที่มีเงินอยู่ในเวลานั้น รวมแล้วเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท ภายหลังจึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก เงินที่ตนโอนไป นายจักรรินทร์ กลับนำไปเลี้ยงดูหญิงสาวรายอื่น เหมือนเช่นที่เคยทำกับผู้หญิงรายก่อนหน้านี้มาแล้ว
น.ส.เอ กล่าวด้วยว่า เท่าที่ได้ติดตามสืบหาข้อมูล จึงรู้ว่า นายจักรรินทร์ มีครอบครัวและลูกอยู่ที่ จ.อุดรธานี 2 คน ที่ จ.อุบลราชธานี 1 คน ที่ จ.เลย 1 คน และที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อีก 1 คน นอกจากนี้ ยังมีหญิงสาวที่ตั้งท้องกับนายจักรรินทร์ ที่พัทยา อีกคนหนึ่งด้วย แต่ทั้งหมดนายจักรรินทร์ ไม่เคยยอมรับว่าเป็นลูกของตัวเองเลย
“เมื่อฉันทราบเรื่อง และได้พบกับหญิงสาวที่ถูกนายจักรรินทร์ หลอกลวงจึงปรึกษากัน ก่อนจะเข้าแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าว แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่รับแจ้ง โดยระบุว่า เป็นเรื่องทางแพ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้จะอยากได้เงินคืนก็ตาม แต่หากไม่รีบออกมาเปิดเผยพฤติกรรมของนายจักรรินทร์ ก็อาจมีหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อหนุ่มเจ้าเล่ห์รายนี้และสร้างความเสียหายเกิดขึ้นต่อไปอีก จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่ บก.ป.” น.ส.เอ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้แล้ว ส่วนการพิจารณาดำเนินคดีคงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้งว่าเข้าข่ายความผิดอาญา หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะรับเรื่องไว้ดำเนินคดีหรือไม่ โดยเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป