“เพรียวพันธ์” ตรวจเยี่ยม สน.ท่าเรือ พร้อมสนองนโยบาย “เฉลิม” เดินหน้าปราบยาเสพติดเข้มข้น ลั่นหากพบตำรวจคนใดเกี่ยวข้องค้ายาไม่เอาไว้แน่
วันนี้ (7 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ สน.ท่าเรือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมคณะเดินทางมาร่วมประชุมฟังบรรยายสรุปสภาพปัญหายาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.ท่าเรือ โดยมี พ.ต.อ.จักษ์ จิตตธรรม ผกก.สน.ท่าเรือ เป็นผู้บรรยาย
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า หลังจากได้มีการพูดคุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติดภาพรวมทั่วประเทศ ก็จะมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นหลายส่วนพร้อมกัน โดยเฉพาะในส่วนของผู้จำหน่ายยาเสพติดรายย่อยที่มีนับร้อยราย จึงต้องหารือกับตำรวจในพื้นที่เพื่อดูข้อมูลด้านต่างๆ เช่นความเป็นมา การจับกุม ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการกวาดล้างว่าต้องใช้เวลาเท่าใดเพื่อให้ยาเสพติดเหล่านี้หมดไปจากพื้นที่
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากพื้นที่ สน.ท่าเรือ แล้วเราก็จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันขยายไปทุกพื้นที่สีแดง ซึ่งมีระดับของการแพร่ระบาดยาเสพติดสูง รวมทั้งในต่างจังหวัด หากท้องที่ใดไม่สามารถดำเนินการปราบปรามยาเสพติดได้ด้วยตนเอง หรือทำไม่ได้ตามกำหนด ทาง ตร.ก็จะส่งหน่วยเหนือให้เข้าไปช่วยปราบปราม ส่วนเรื่องการลงโทษตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบนั้นคิดว่าคงไม่อยากมีใครปล่อยให้มีปัญหายาเสพติด แต่หากพบว่ามีตำรวจคนใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เราจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดไม่เอาไว้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม มาตรการปราบปรามยาเสพติดแบบเข้มข้นที่กำลังดำเนินการนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยืนยันว่า จะดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน เพื่อผู้ค้ายาเสพติดอยู่ไม่ได้ พร้อมกันนี้ได้มีการตั้งกำลังป้องกันยาเสพติดที่หลั่งไหลเข้ามาตามแนวชายแดน ทั้งพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3, 4, 5 และ 6 โดยเฉพาะเส้นทางลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ภาค 5-6 ที่เข้ามาถึงร้อยละ 80 ของยาเสพติดทั้งหมด จึงมีการตั้งตำรวจจำนวน 18 ชุด มาดูแลใน 3 จังหวัดภาคเหนือ ที่เป็นเส้นทางหลักในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามายังประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ยาเหล่านี้ไหลเข้ามายังพื้นที่ภาคอื่นๆ รวมทั้ง กทม.พร้อมดำเนินการเรื่องรางวัลนำจับยาบ้าเม็ดละ 2 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ และจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ปราบปรามยาเสพติดให้ยั่งยืนต่อไป
วันนี้ (7 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ สน.ท่าเรือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมคณะเดินทางมาร่วมประชุมฟังบรรยายสรุปสภาพปัญหายาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.ท่าเรือ โดยมี พ.ต.อ.จักษ์ จิตตธรรม ผกก.สน.ท่าเรือ เป็นผู้บรรยาย
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า หลังจากได้มีการพูดคุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติดภาพรวมทั่วประเทศ ก็จะมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นหลายส่วนพร้อมกัน โดยเฉพาะในส่วนของผู้จำหน่ายยาเสพติดรายย่อยที่มีนับร้อยราย จึงต้องหารือกับตำรวจในพื้นที่เพื่อดูข้อมูลด้านต่างๆ เช่นความเป็นมา การจับกุม ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการกวาดล้างว่าต้องใช้เวลาเท่าใดเพื่อให้ยาเสพติดเหล่านี้หมดไปจากพื้นที่
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากพื้นที่ สน.ท่าเรือ แล้วเราก็จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันขยายไปทุกพื้นที่สีแดง ซึ่งมีระดับของการแพร่ระบาดยาเสพติดสูง รวมทั้งในต่างจังหวัด หากท้องที่ใดไม่สามารถดำเนินการปราบปรามยาเสพติดได้ด้วยตนเอง หรือทำไม่ได้ตามกำหนด ทาง ตร.ก็จะส่งหน่วยเหนือให้เข้าไปช่วยปราบปราม ส่วนเรื่องการลงโทษตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบนั้นคิดว่าคงไม่อยากมีใครปล่อยให้มีปัญหายาเสพติด แต่หากพบว่ามีตำรวจคนใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เราจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดไม่เอาไว้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม มาตรการปราบปรามยาเสพติดแบบเข้มข้นที่กำลังดำเนินการนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยืนยันว่า จะดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน เพื่อผู้ค้ายาเสพติดอยู่ไม่ได้ พร้อมกันนี้ได้มีการตั้งกำลังป้องกันยาเสพติดที่หลั่งไหลเข้ามาตามแนวชายแดน ทั้งพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3, 4, 5 และ 6 โดยเฉพาะเส้นทางลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ภาค 5-6 ที่เข้ามาถึงร้อยละ 80 ของยาเสพติดทั้งหมด จึงมีการตั้งตำรวจจำนวน 18 ชุด มาดูแลใน 3 จังหวัดภาคเหนือ ที่เป็นเส้นทางหลักในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามายังประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ยาเหล่านี้ไหลเข้ามายังพื้นที่ภาคอื่นๆ รวมทั้ง กทม.พร้อมดำเนินการเรื่องรางวัลนำจับยาบ้าเม็ดละ 2 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ และจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ปราบปรามยาเสพติดให้ยั่งยืนต่อไป