“ผู้กองตุ๋ย” เจ้าของบริษัทการ์ด โร่ชี้แจงสื่อมวลชน กรณีเหตุเผาไล่ที่สภาประชาชนเครือข่าย 4 ภาค จนถูกหมายจับ บอกปัดกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุไม่ใช่พนักงานบริษัท ลั่น ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ของหลวงแต่เป็นที่ดินของเจ้าหนี้หลายรายที่ไปขอซื้อมา พร้อมชดเชยเยียวยาชาวบ้านในพื้นที่ที่ยังเหลืออยู่
จากกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 200 คน พร้อมอาวุธครบมือบุกขับไล่กลุ่มสภาประชาชนเครือข่าย 4 ภาค (สมัชชาคนจน) ที่แอบเข้ามายึดครองปลูกสร้างเพิงพักบนที่ดินของ บริษัท ไทยอเมริกัน เท็กซ์ไทล์ จำกัด และบริษัท ไทยเมล่อนเท็กซ์ไทล์ จำกัด ริมถนนพหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จนเกิดการปะทะกันขึ้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย กระทั่งเมื่อวานนี้ ร.อ.ธรรมนัส หรือ ผู้กองตุ๋ย พรหมเผ่า อายุ 45 ปี เจ้าของบริษัท ธรรมนัสการ์ด จำกัด ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผบช.ภ.1 หลังถูกศาลจังหวัดธัญบุรีออกหมายจับที่ จ.632/2554 ลงวันที่ 3 ก.ค.54 ข้อหาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ด้วยการจ้างวานให้วางเพลิงเผาทรัพย์โรงเรือนที่อยู่อาศัยของผู้อื่น หลังให้พนักงานบริษัทบุกเข้าไปไล่ที่กลุ่มสมัชชาฯ โดย ร.อ.ธรรมนัส ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนจะใช้หลักทรัพย์เป็นบัญชีเงินฝากจำนวน 5 แสนบาทประกันตัวออกไปนั้น
วันนี้ (6 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ร.อ.ธรรมนัส เดินทางเข้าพบ นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่าวฯ เพื่อชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตนไม่เคยได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนถูกสังคมประณาม วันนี้เลยมาขอชี้แจ้งผ่านสื่อมวลชน แต่ก่อนอื่นตนต้องขอโทษเมื่อวานที่มีกองทัพนักข่าวไปรอทำข่าวที่ศาลธัญบุรี แล้วไม่พบตน ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหน้าหรือปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้สื่อเห็นตนในสภาพที่อิดโรย เพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว เนื่องจากวุ่นๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น อีกทั้งสภาพอากาศก็ไม่เอื้ออำนวย และอยากให้ไปสัมภาษณ์ในที่เกิดเหตุมากกว่า
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอีกว่า ที่ดินผืนดังกล่าวตนได้ซื้อมาจาก บริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) ไม่ใช่การประมูล และที่ดินดังกล่าวก็ไม่ใช่ของหลวงและไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า แต่เป็นของเจ้าหนี้หลายรายที่ตนไปขอซื้อมา และจ่ายเงินงวดแรกไปแล้วกว่า 320 ล้านบาท โดยในวันที่ 31 พ.ค.54 มีการทำสัญญาซื้อขายอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ก่อนที่บริษัทบสท.จะปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.โดยมีบริษัท จินดาประเมินทรัพย์ จำกัด ดูแลพื้นที่ดังกล่าวอยู่ จากนั้นก็มีกลุ่มสมัชชาเข้ามาบุกยึดพื้นที่ ปลูกกระต็อบอยู่ และมีการขับไล่ ทำร้าย รปภ.ของบริษัทจินดาประเมินทรัพย์ จนมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คลองหลวง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.จนนำไปสู่การออกหมายจับบุคคลที่ทำร้าย รปภ.ซึ่งขณะนั้นการ์ดของบริษัทตนยังไม่ได้เข้าไปดูแลพื้นที่ดังกล่าว
ผู้กองตุ๋ย กล่าวอีกว่า กระทั่งวันที่ 1 ก.ค.บริษัท ธรรมนัสฯ ได้เข้ามาดูแลพื้นที่นี้แทนบริษัทรปภ.เก่า ตามเงื่อนไขของ บสท.โดยมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้วว่า บริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลพื้นที่รอบนอกก่อนที่จะมีการโอนสัญญา แต่พอถึงช่วงเย็นวันที่ 1 ก.ค.ได้มีการขว้างระเบิดออกมาจากในรั้ว ทำให้ รปภ.ได้รับบาดเจ็บ ตนจึงให้พนักงานหนีออกมาแล้วไปแจ้งความไว้ที่ สภ.คลองหลวง ในวันรุ่งขึ้น จนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับกลุ่มคนที่ขว้างระเบิดจากภายในรั้วจำนวน 15 คน ต่อมาตนได้ขอกำลังตำรวจเข้าไปดูแลในพื้นที่ร่วมกับการ์ดของบริษัท ต่อมาตนก็ได้ไปเจรจากับกลุ่มแกนนำสมัชชาฯ และได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ที่ตนนับถือถึงการแก้ปัญหาและเยียวยากลุ่มสมัชชาฯ เพราะตนได้วางเงินซื้อที่ดินและตั้งใจจะทำมาหากินในพื้นที่นี้ไปแล้ว
“ขณะนั้นมีชาวบ้านซึ่งเป็นคนอีสานกว่า 100 คน ทำงานอยู่ย่านนวนครมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ และทราบว่าแต่ละคนเสียเงินค่าสร้างกระต๊อบรวมแล้วประมาณ 15,000 บาทต่อหลัง โดยมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ ผมจึงเจรจาและยื่นข้อเสนอว่าจะคืนเงินให้พร้อมกับให้เงินเป็นค่ารถกลับบ้านด้วย หรือหากใครต้องการให้างบริษัทจัดรถให้ ผมก็ยินดี ซึ่งชาวบ้านก็รับปากว่าจะเดินทางกลับในช่วงที่มีการเลือกตั้ง แต่ก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน ระหว่างเจ้าหน้าที่ช่วยชาวบ้านย้ายข้าวของ อยู่ๆ ก็มีการขว้างระเบิดและยิงปืนออกมาจากในพื้นที่จนเกิดการชุลมุนวุ่นวายไปหมด จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จากนั้นก็มีการยิงกันเกิดขึ้น ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนั้นเป็นใคร จนกระทั่งมีการนำเสนอผ่านสื่อว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเป็นลูกน้องของผม ตรงนี้ขอยืนยันว่าชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุแล้วมีผ้าสีเขียวผูกไว้ที่คอทั้งหมดไม่ใช่พนักงานของผม เพราะรปภ.ของบริษัทธรรมนัสจะสวมชุดคล้ายตำรวจ 191 และมีบัตรติดทุกคน ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าชุดก็จะสวมชุดซาฟารีเห็นชัดเจน และผมก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” ผู้กองตุ๋ย กล่าว
ผู้กองตุ๋ย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอขอบคุณกลุ่มสมัชชาฯ ที่รับปากว่าจะย้ายออกจากพื้นที่ และได้ย้ายออกไปจริงบางส่วน สุดท้ายก็ยังยืนยันว่าจะให้การเยียวยาชาวบ้านในพื้นที่นั้นที่ยังเหลืออยู่ และยืนยันที่จะเข้าไปใช้สิทธิในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากตนได้ซื้อที่ดังกล่าวไว้ทำธุรกิจ ซึ่งจะต้องจ่ายเงินอีกนับหมื่นล้านในการลงทุน พร้อมขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้โอกาสตนได้ชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ฝ่ายเดียว