อดีตพลตำรวจร้องกองปราบ ถูกลวดสลิงห้างดังในจังหวัดขอนแก่น ตัด 2 นิ้วมือซ้ายขาด เผยทางห้างไม่เหลียวแล แถมส่งเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ย เสนอขอชดใช้เงินไม่กี่แสน เจ้าตัวไม่ยอมรับ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นเกินกว่าเงินเพียงเล็กน้อย อีกทั้งทำให้สูญเสียรายได้หลายหมื่นต่อเดือน เนื่องจากถนัดซ้ายเลยทำให้เป็นช่างซ่อมเครื่องไฟฟ้าไม่ได้
วันนี้ (25 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ กองปราบปราม นายชนะ ดีบุญมี อายุ 45 ปี อดีตพลตำรวจในสังกัด บช.ภ.4 และประธานชุมชนหมู่บ้านเอื้ออาทร อยู่บ้านเลขที่ 135/118 หมู่ 7 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น เข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนประจำกองปราบปราม เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกลวดสลิงที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น บาดนิ้วกลางและนิ้วก้อยของมือข้างซ้ายขาด โดยนำสำเนาบันทึกการเข้าแจ้งความดำเนินคดีที่ บก.ป.และ สภ.เมืองขอนแก่น รวมทั้งสำเนาเรื่องการเจรจาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทการร้องเรียนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ ปว.222/2554 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2554 มาเป็นหลักฐาน
นายชนะ กล่าวว่า หลังจากลาออกจากตำรวจ ก็มาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและรับติดตั้งจานดาวเทียม โดยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ขณะที่ขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งภรรยาที่ทำงานอยู่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แต่ระหว่างขับรถออกมาได้ถูกลวดสลิง ซึ่งทางห้างติดตั้งไว้สำหรับขึงตาข่ายพรางแสง หรือแสลน ของลานจอดรถ แต่สลิงดังกล่าวชำรุดและเกี่ยวนิ้วมือข้างซ้าย เป็นเหตุให้นิ้วกลางและนิ้วก้อยขาด จากนั้นมีผู้ช่วยเหลือพาไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น
นายชนะ กล่าวต่อว่า จากนั้นได้ย้ายไปโรงพยาบาลขอนแก่นราม ซึ่งตนได้ไปขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากห้างแห่งนี้
“ช่วงที่ผมประสบเหตุจนต้องรักษาตัวอยู่นั้น ทางห้างไม่เคยให้ความสนใจ ทั้งที่มีการทำประกันภัยไว้ ทำให้ผมต้องเป็นผู้ทุพพลภาพสูญเสียนิ้วมือ 2 นิ้วไปตลอดชีวิต รายได้ที่เคยได้เดือนละ 3-4 หมื่นบาท ก็หายไป เพราะผมถนัดซ้าย ทำให้ไม่สามารถถือเครื่องบัดกรีได้ แม้ว่าภายหลังทางห้างได้ประสานให้บริษัทประกันภัยมาเจรจาไกล่เกลี่ย โดยยินยอมจะชดใช้เงินค่าเสียหายจำนวน 1.4 แสนบาท แต่ผมไม่ยอมรับ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่จะรับเงินจำนวนเพียงเท่านี้ได้” นายชนะ กล่าว
นายชนะ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้น มีการติดต่อขอไกล่เกลี่ยกันอีก 2-3 ครั้ง และมีการเพิ่มยอดเงินชดเชยเป็น 4 แสนบาท พร้อมกับประสานให้ปลัดอำเภอในพื้นที่มาช่วยเจรจา แต่ตนไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีความจริงใจในการช่วยเหลือ โดยการนัดหมายกันแต่พอถึงเวลาก็มีการขอเลื่อนนัดหรืออ้างเหตุผลต่างๆ จนหมดความอดทน โดยที่ผ่านมาทางตำรวจท้องที่ ซึ่งตนเข้าแจ้งความถึง 2 ครั้ง คดีก็ไม่คืบหน้า ตำรวจอ้างว่าไม่เข้าข่ายความผิดอาญา จึงต้องมาแจ้งความพนักงานสอบสวน บก.ป.และร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนดังกล่าว