ญาติพยาบาลที่สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหวในนิวซีแลนด์ เดินทางเข้าตรวจดีเอ็นเอ และนำหลักฐาน ภาพถ่ายและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยที่เดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นำข้อมูลไปตรวจสอบและเปรียบเทียบกับศพที่ค้นพบ ขณะที่ผู้เป็นแม่ยังหวัง ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่
วันนี้ (1 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นางดารณี เหลืองสุรภีสกุล อายุ 60 ปี น.ส.เข็มฤทัย เหลืองสุรภีสกุล อายุ 35 ปี มารดาและพี่สาวของ น.ส.หฤทยา เหลืองสุรภีสกุล อายุ 32 ปี นางสะอิ้ง ปรีกลาง อายุ 75 ปี และนายสุนทร ปรีกลาง อายุ 43 ปี มารดาและน้องชายของ น.ส.วันเพ็ญ ปรีกลาง อายุ 45 ปี ซึ่งทั้ง 2 คน เป็นพยาบาลที่เดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ และสูญหายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ได้เดินทางเข้ามาตรวจดีเอ็นเอและนำหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยที่เดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นำข้อมูลไปตรวจสอบและเปรียบเทียบกับศพที่ค้นพบ โดยมี พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.เป็นตัวแทนประสานงาน
นางสะอิ้ง เปิดเผยว่า สำหรับ น.ส.วันเพ็ญ เป็นบุตรสาวคนโตและถือเป็นเสาหลักของบ้าน ในขณะที่บุตรสาวอยู่ประเทศไทยก็ได้ทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเด็ก มาเป็นเวลากว่า 20 ปี และได้ส่งเงินมาให้ครอบครัวตลอด ก่อนที่บุตรสาวจะตัดสินใจเดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเตรียมเดินทางไปทำงานเป็นพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และโดยปกติบุตรสาวมักจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับตนเป็นประจำเกือบทุกวัน ซึ่งทุกครั้งบุตรสาวจะกำชับให้ตนดูแลสุขภาพให้ดี ส่วนตนก็จะอวยพรให้บุตรสาวตั้งใจเรียนและสอบผ่านเช่นกัน แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบุตรสาวต้องเรียนหนัก เนื่องจากต้องสอบในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ทำให้ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กันเท่าที่ควร
นางสะอิ้ง กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก็ได้รีบโทรศัพท์ไปหาบุตรสาวทันที เพราะรู้สึกเป็นห่วงมาก แต่ก็ต้องรออยู่นาน จากนั้นต้นสายของบุตรสาวก็ได้มีคนกดรับโทรศัพท์ประมาณ 4 วินาที แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนที่จะวางสายไป ตอนนั้นตนคิดว่าบุตรสาวน่าจะปลอดภัยและไม่น่าจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วง จนต่อมาในวันรุ่งขึ้นก็ทราบข่าวว่า บุตรสาวมีรายชื่อเป็นหนึ่งในคนไทยที่สูญหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
ด้าน นางดารณี กล่าวว่า ในขณะที่บุตรสาวอยู่ประเทศไทยก็ได้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว โดยใช้เงินส่วนตัวในการเดินทางไปศึกษาครั้งนี้ สำหรับบุตรสาวมีความตั้งใจและต้องการที่จะทำงานอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนเกิดเหตุบุตรสาวได้โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ให้ช่วยทำบุญให้หน่อย เนื่องจากจะต้องสอบในวันที่ 12 มี.ค.นี้ โดยตอนนั้นตนก็ไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้คิดว่าเป็นลางบอกเหตุ เพราะปกติบุตรสาวเป็นคนที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากศพที่พบและมีบัตรประชาชนของบุตรสาวติดตัวอยู่ เป็นร่างของบุตรสาวของตนจริง ก็ต้องการที่จะนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เชื่อว่า ศพที่พบเป็นร่างของบุตรสาวของตนจริง เพราะก่อนหน้านี้ได้ให้ญาติที่สนิทกันและเป็นร่างทรงได้นั่งทางนัย ซึ่งได้รับคำตอบว่า บุตรสาวยังมีชีวิตอยู่และได้หนีรอดจากเหตุแผ่นดินไว้ที่เกิดขึ้น โดยได้หนีเข้าไปในช่องทางเล็กๆ
ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากตร.ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปช่วยในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบศพที่ติดค้างอยู่ในซากตึกจำนวน 25 ศพ โดยหนึ่งในศพที่ค้นพบนั้น มี 1 รายที่พกบัตรประชาชนของประเทศไทยที่ระบุชื่อ น.ส.หฤทยา ติดตัวอยู่ด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงประสานงานกลับมาที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพื่อให้ตรวจสอบดีเอ็นเอ บริเวณเนื้อเยื้อกระพุ้งแก้มของญาติและส่งข้อมูลกลับไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของศพที่ค้นพบ โดยในวันนี้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจได้นัดญาติของคนไทยที่สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหวจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย น.ส.หฤทยา น.ส.วันเพ็ญ และ น.ส.จิตรา ไวทาธาดาพงศ์ มาตรวจและเก็บดีเอ็นเอ ไว้เป็นหลักฐาน และในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ได้นัดให้ญาติของ น.ส.ธนิดา อินทรางกูร พยาบาลชาวไทยที่ยังสูญหายมาตรวจดีเอ็นเอเช่นกัน ส่วนญาติของ น.ส.พิมพร เลี้ยงเชื้อ พยาบาลที่ยังสูญหาย ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากพักอยู่ใน จ.พะเยา ทางตร.จึงได้ประสานให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 เข้าไปเก็บหลักฐานและตรวจดีเอ็นเอ ก่อนที่จะส่งข้อมูลเข้ามาที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ตรวจดีเอ็นเอ ญาติของคนไทยที่สูญหายแล้ว ทางกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจก็จะส่งข้อมูลที่ได้ไปให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยที่อยู่ประเทศนิวซีแลนด์ภายในวันที่ 3 มี.ค.นี้ เพื่อนำข้อมูลไปเปรียบเทียบ และคาดว่าในวันที่ 4 ก.พ.นี้ เจ้าหน้าที่จะได้รับข้อมูลและสามารถลงพื้นที่ เพื่อเข้าเก็บดีเอ็นเอ จากศพที่ค้นพบและนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่า ตรงกับดีเอ็นเอของญาติหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ไม่ทราบว่า จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนานเท่าไร
วันนี้ (1 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นางดารณี เหลืองสุรภีสกุล อายุ 60 ปี น.ส.เข็มฤทัย เหลืองสุรภีสกุล อายุ 35 ปี มารดาและพี่สาวของ น.ส.หฤทยา เหลืองสุรภีสกุล อายุ 32 ปี นางสะอิ้ง ปรีกลาง อายุ 75 ปี และนายสุนทร ปรีกลาง อายุ 43 ปี มารดาและน้องชายของ น.ส.วันเพ็ญ ปรีกลาง อายุ 45 ปี ซึ่งทั้ง 2 คน เป็นพยาบาลที่เดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ และสูญหายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ได้เดินทางเข้ามาตรวจดีเอ็นเอและนำหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยที่เดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นำข้อมูลไปตรวจสอบและเปรียบเทียบกับศพที่ค้นพบ โดยมี พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.เป็นตัวแทนประสานงาน
นางสะอิ้ง เปิดเผยว่า สำหรับ น.ส.วันเพ็ญ เป็นบุตรสาวคนโตและถือเป็นเสาหลักของบ้าน ในขณะที่บุตรสาวอยู่ประเทศไทยก็ได้ทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเด็ก มาเป็นเวลากว่า 20 ปี และได้ส่งเงินมาให้ครอบครัวตลอด ก่อนที่บุตรสาวจะตัดสินใจเดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเตรียมเดินทางไปทำงานเป็นพยาบาลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และโดยปกติบุตรสาวมักจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับตนเป็นประจำเกือบทุกวัน ซึ่งทุกครั้งบุตรสาวจะกำชับให้ตนดูแลสุขภาพให้ดี ส่วนตนก็จะอวยพรให้บุตรสาวตั้งใจเรียนและสอบผ่านเช่นกัน แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบุตรสาวต้องเรียนหนัก เนื่องจากต้องสอบในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ทำให้ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กันเท่าที่ควร
นางสะอิ้ง กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก็ได้รีบโทรศัพท์ไปหาบุตรสาวทันที เพราะรู้สึกเป็นห่วงมาก แต่ก็ต้องรออยู่นาน จากนั้นต้นสายของบุตรสาวก็ได้มีคนกดรับโทรศัพท์ประมาณ 4 วินาที แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนที่จะวางสายไป ตอนนั้นตนคิดว่าบุตรสาวน่าจะปลอดภัยและไม่น่าจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วง จนต่อมาในวันรุ่งขึ้นก็ทราบข่าวว่า บุตรสาวมีรายชื่อเป็นหนึ่งในคนไทยที่สูญหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
ด้าน นางดารณี กล่าวว่า ในขณะที่บุตรสาวอยู่ประเทศไทยก็ได้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว โดยใช้เงินส่วนตัวในการเดินทางไปศึกษาครั้งนี้ สำหรับบุตรสาวมีความตั้งใจและต้องการที่จะทำงานอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนเกิดเหตุบุตรสาวได้โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ให้ช่วยทำบุญให้หน่อย เนื่องจากจะต้องสอบในวันที่ 12 มี.ค.นี้ โดยตอนนั้นตนก็ไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้คิดว่าเป็นลางบอกเหตุ เพราะปกติบุตรสาวเป็นคนที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากศพที่พบและมีบัตรประชาชนของบุตรสาวติดตัวอยู่ เป็นร่างของบุตรสาวของตนจริง ก็ต้องการที่จะนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เชื่อว่า ศพที่พบเป็นร่างของบุตรสาวของตนจริง เพราะก่อนหน้านี้ได้ให้ญาติที่สนิทกันและเป็นร่างทรงได้นั่งทางนัย ซึ่งได้รับคำตอบว่า บุตรสาวยังมีชีวิตอยู่และได้หนีรอดจากเหตุแผ่นดินไว้ที่เกิดขึ้น โดยได้หนีเข้าไปในช่องทางเล็กๆ
ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากตร.ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปช่วยในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบศพที่ติดค้างอยู่ในซากตึกจำนวน 25 ศพ โดยหนึ่งในศพที่ค้นพบนั้น มี 1 รายที่พกบัตรประชาชนของประเทศไทยที่ระบุชื่อ น.ส.หฤทยา ติดตัวอยู่ด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงประสานงานกลับมาที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพื่อให้ตรวจสอบดีเอ็นเอ บริเวณเนื้อเยื้อกระพุ้งแก้มของญาติและส่งข้อมูลกลับไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของศพที่ค้นพบ โดยในวันนี้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจได้นัดญาติของคนไทยที่สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหวจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย น.ส.หฤทยา น.ส.วันเพ็ญ และ น.ส.จิตรา ไวทาธาดาพงศ์ มาตรวจและเก็บดีเอ็นเอ ไว้เป็นหลักฐาน และในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ได้นัดให้ญาติของ น.ส.ธนิดา อินทรางกูร พยาบาลชาวไทยที่ยังสูญหายมาตรวจดีเอ็นเอเช่นกัน ส่วนญาติของ น.ส.พิมพร เลี้ยงเชื้อ พยาบาลที่ยังสูญหาย ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากพักอยู่ใน จ.พะเยา ทางตร.จึงได้ประสานให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 เข้าไปเก็บหลักฐานและตรวจดีเอ็นเอ ก่อนที่จะส่งข้อมูลเข้ามาที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ตรวจดีเอ็นเอ ญาติของคนไทยที่สูญหายแล้ว ทางกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจก็จะส่งข้อมูลที่ได้ไปให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยที่อยู่ประเทศนิวซีแลนด์ภายในวันที่ 3 มี.ค.นี้ เพื่อนำข้อมูลไปเปรียบเทียบ และคาดว่าในวันที่ 4 ก.พ.นี้ เจ้าหน้าที่จะได้รับข้อมูลและสามารถลงพื้นที่ เพื่อเข้าเก็บดีเอ็นเอ จากศพที่ค้นพบและนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่า ตรงกับดีเอ็นเอของญาติหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ไม่ทราบว่า จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนานเท่าไร