การยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน “คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ของ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ต่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ถือเป็นการแสดงออกถึงภาวะอัดอั้นตันใจภายในบางอย่าง ทั้งเรื่องที่ถูกฟ้องร้อง การดุ่มเดินทำคดีอย่างดันทุรัง
ย้อนไปหลังจาก พล.ต.ท.สมยศ ได้รับการแต่งตั้งให้รับเผือกร้อนต่อจาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. จาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.นายเก่าสมัยอยู่สำนักงาน พล.ต.อ.อัยยรัช เวสสะโกศล อดีต รอง ผบ.ตร.โดยคำสั่งดังกล่าวถูกสะบัดปากกาเซ็นก่อนที่ พล.ต.อ.พัชรวาทจะเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน
หลังได้รับการยกหู ชูหาง ให้ถือดาบอาญาสิทธิ์ พล.ต.ท.สมยศก็เร่งเดินหน้าใช้อำนาจเรียกพยานหลักฐานต่างๆ จากพนักงานสอบสวนคณะเก่า พร้อมทั้งฟอร์มทีม พนักงานสอบสวนขึ้นมาใหม่ โดยเรียกเด็กในคาถาอย่าง พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล มานั่งเป็นรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน จากนั้นก็เลือกเอากองปราบปราบเป็นศูนย์บัญชาการ ตกแต่งห้องขึ้นมาใหม่ ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ ทันสมัยเพื่อใช้ทำคดีนี้โดยเฉพาะ ก่อนเดินหน้าเรียกประชุมทำสำนวนสอบสวนอย่างเร่งรีบ หามรุ่งหามค่ำ
แต่หลังจากกรมปทุมวันเปลี่ยนหัว นายเก่าเกษียณกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้าน นายใหม่อย่าง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ผบ.ตร.ขณะนั้นก็มาจากสายอื่น
ระหว่างที่ พล.ต.อ.ปทีป มัวยุ่งอยู่กับการจัดทัพจัดองค์กร พล.ต.ท.สมยศ ก็รีบสั่งพนักงานสอบสวนเดินทางไปศาลอาญาเพื่อขออนุมัติหมายจับกลุ่มพันธมิตรฯต่อศาล แต่ถูก พล.ต.อ.ปทีปเบรกไว้ เพราะเห็นว่ารวบรัดตัดตอนเกินไป สำนวนการสอบสวนยังไม่รัดกุมสมบูรณ์พอ
ต่อมา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เข้ามาเป็น ผบ.ตร.ก็ยังคงคำสั่งให้ พล.ต.ท.สมยศเดินหน้าทำคดีต่อ กระทั่งวันที่ 26 ส.ค.พนักงานสอบสวนก็ได้ออกหมายเรียกให้กลุ่มพันธมิตรฯ จำนวน 77 คน เข้ามอบตัวที่กองปราบปราม พร้อมทั้งตั้งข้อหาร้ายแรงสุดๆ “ฐานก่อการร้าย” ต่อแกนนำคนสำคัญ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ เคยพูดถึงข้อหาที่เขาถูกเจ้าหน้าที่ตั้งให้อย่างไม่เป็นธรรมว่า “เรื่องนี้คงอีกยาว แต่เชื่อว่าด้วยพยานหลักฐานจะพิสูจน์ว่าข้อหาก่อการร้ายที่พนักงานสอบสวนตั้งไว้นั้น เป็นการจงใจกลั่นแกล้ง นอกจากนี้จะฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศด้วย และขอให้ พล.ต.ท.สมยศเตรียมตัวว่าภาคประชาชนจะติดตามและดำเนินการทุกกรณี โดยจะใช้ทุกช่องทางไม่ว่าจะร้องต่อ ป.ป.ช. ฟ้องคดีแพ่ง ร้องศาลปกครอง แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็เตรียมตัวรอขึ้นศาลได้เลย”
“ผมเข้าใจดีที่ พล.ต.ท.สมยศอ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ก็เป็นเพราะทำตามคำสั่งนักการเมือง ซึ่งผมก็จะต่อสู้คดีตามกฎหมายทุกอย่างที่ทำได้ ตำรวจจะรับใช้นักการเมืองไม่ได้ และขอฝากสั้นๆ ว่าพวกนักการเมืองไม่เคยจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ คนมีอำนาจก็หมดอำนาจได้ คนที่เป็นใหญ่วันหนึ่งก็ต้องหมดอำนาจไป ผมอยากฝากว่า สักวันหนึ่งเวรกรรมจะต้องมาถึงพวกคุณเร็วๆ นี้” นายสนธิ กล่าว
แม้จะถูกประกาศฟ้องแต่ พล.ต.ท.สมยศ ก็ยังคงเดินหน้าทำสำนวนการสอบสวน กระทั่งเดือน พ.ย.2553 พนักงานสอบสวนได้ยื่นสำนวนให้ ผบ.ตร.พิจารณา โดยแนบความเห็นสั่งฟ้องพันธมิตรฯทั้งหมด แต่ พล.ต.อ.วิเชียรมีความเห็นกลับมาว่าให้นำสำนวนกลับไปสอบสวนเพิ่มเติม กระทั่งต้นเดือน ก.พ.2554 สำนวนก็ถูกส่งไปถึงมือ ผบ.ตร.อีกครั้ง
และเมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ประเดิมฟ้อง พล.ต.ท.สมยศ ต่อศาลแพ่งเป็นสำนวนคดีแรก โดยเรียกค่าเสียหายจำนวน 220 ล้าน กรณีตั้งข้อหาก่อการร้ายอย่างไม่เป็นธรรม และกล่าวหาว่า พล.ต.จำลองเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติโดยแท้
แล้วในบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.ท.สมยศ ก็ยื่นหนังสือให้ พล.ต.อ.วิเชียร เพื่อขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว พล.ต.ท.สมยศ ได้อ้างถึงเหตุที่ต้องลาออกว่าที่ถูกฟ้องร้องก็มีส่วนอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าไม่อยากเข้ามารับผิดชอบคดีนี้ตั้งแต่แรก จึงคิดตั้งแต่ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.พัชรวาท ที่ให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้แล้วว่า หากทำคดีเสร็จสิ้นก็จะขอลาออกทันที
“ผมเป็นคนที่ทำอะไรแล้วตั้งใจ ทุ่มเท จริงจัง คดีนี้แม้ไม่อยากทำแต่แรก แต่ก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุด และตลอดเวลาที่ทำคดีนี้ก็ถูกยัดเยียดความเป็นสีให้ตลอด มันได้รับความกดดันทางสังคม เรื่องที่บอกว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ตร.เลยก็เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ผมทำคดีนี้เอาเงินส่วนตัวมาจ่ายเบี้ยเลี้ยงพนักงานสอบสวน เอามาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ทำงาน หมดเงินร่วม 5 ล้านบาท เงินส่วนตัวทั้งนั้น ตร.ไม่ให้ผมสักสลึง แล้วผมต้องมาแบกรับภาระนี้ทำไม ในเมื่อผมสรุปสำนวนส่งเรียบร้อยไปแล้ว ทุกวันนี้ยังจะต้องจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานสอบสวนอีกเดือนละเป็นแสนอีก ก็ไม่ไหว ลูกเมียผมก็มี” พล.ต.ท.สมยศกล่าวถึงความอัดอั้นตันใจ
เงินส่วนตัวที่เขาควักมาใช้จ่ายทั้งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ แฟ้มเอกสาร 4 หมื่นแผ่น พยานบุคคลกว่า 1,000 คน และค่าเบี้ยเลี้ยงลูกน้องอีกในระยะเวลากว่า 2 ปี ที่เข้ามารับงานโดยที่ไม่ได้รับเงินเลยนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปถามเจ้าตัวดูว่าทำไมถึงกล้าเอาชื่อเสียง เกียรติยศและเงินทองส่วนตัวเข้าแลก หรือ พล.ต.ท.สมยศ กำลังคิดอะไร? ทำอะไร?และ ทำคดีนี้เพื่อใคร?
ถึงวันนี้เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป “เนวิน ชิดชอบ” และ “พัชรวาท” บารมีไม่เจิดจรัสเต็มที่เต็มร้อยเหมือนเช่นเคย อีกทั้งนายใหม่ก็ไม่แฮปปี้กับการทำคดีแบบมุทะลุโดยไม่ฟังคำแนะนำตักเตือน
แต่เงิน 5 ล้านบาทที่เสียไปนั้น ไม่น่าจะใช่ประเด็นว่าเป็นของใคร เพราะทราบดีว่าฐานะของ พล.ต.ท.สมยศนั้นอยู่ในระดับเศรษฐีมีสตางค์ บริษัทพลังงานของครอบครัวที่เขานั่งตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอยู่ก็ได้หลายแสนต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่หว่านพืชไม่หวังผล และกรณี พล.ต.ท.สมยศ ยอมควักเงิน 5 ล้าน ทำคดีเร่งรีบยัดข้อหาพันธมิตรฯ ก่อการร้าย เขาทำเพื่อใคร เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้อยู่ในหัวอก!