ผกก.หนองค้างพูล เข้าชี้แจง “อำนวย” เหตุวิวาท “สมูท ผับ” มีผู้เสียชีวิตถูกแทง 2 ราย ยันตำรวจไม่ได้ละเลยจับมือแทง ได้ออกหมายจับไปแล้ว ขณะที่เจ้าของ “สมูท ผับ” แจงไม่ได้เปิดเกินเวลา ด้าน “อำนวย” ลั่นสั่งปิดถาวรห้ามเปิดจนกว่าจะมีใบอนุญาตตามกฎหมาย เผย เบื้องต้นยังไม่พบตำรวจบกพร่อง แต่สั่งให้ ผบก.น.9 ตรวจซ้ำ แล้วรายงานให้ทราบใน 3 วัน ขู่ หากผู้กำกับปล่อยให้เปิดเกินเวลาซ้ำอีก เจอเด้งแน่
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น.ที่ห้องประชุมอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (อก.บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบก.น.9 พ.ต.อ.สุรนิตย์ พรหมบุตร รอง ผบก.น.9 และ พ.ต.อ.มานะ กลัดเข็มเพชร ผกก.สน.หนองค้างพลู พร้อมด้วย น.ส.กิติมา เอี่ยมอุไร อายุ 27 ปี เจ้าของร้านสมูทผับ การ์ดจำนวน 3 คน และผู้ที่มาเที่ยวที่ร้านดังกล่าวอีก 2 คน เพื่อมาชี้แจงกรณีเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นบริเวณร้านสมูทผับ ถนนเพชรเกษมขาเข้า รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในวันเกิดเหตุ
พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า ร้านเกิดเหตุเป็นร้านอาหารธรรมดา ไม่ได้เป็นผับดังขายอาหาร จำหน่ายสุรา และมีดนตรีมาแสดง ตอนเกิดเหตุร้านก็ปิดบริการแล้ว ขณะเกิดเหตุทำร้ายร่างกาย ตำรวจพยายามระงับเหตุ แต่มันชุลมุน ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ชาย 15-16 คน มีผู้หญิงอีก 4-5 คน ทะเลาะวิวาทกับการ์ด ซึ่งตำรวจพยายามระงับเหตุเต็มที่ รวมทั้งขอกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.หนองแขม มาช่วยปฏิบัติหน้าที่ เพราะมีกำลังตำรวจบางส่วนไปปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ ปจ.แต่ระหว่างเกิดเหตุไม่เห็นว่าใครเป็นคนแทง ประกอบกับที่เกิดเหตุก็มืด อีกทั้งผู้บาดเจ็บก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแทง ซึ่งจับกุมตอนนั้นไม่ได้ ก็เพราะว่ายังไม่รู้ว่าใครก่อเหตุแทงใครเลย
“ผมยืนยันว่า รถตำรวจไม่ได้จอดขวางทางจอดรถเพียงอยู่ท้ายรถผู้บาดเจ็บขณะจะนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หลังจากเกิดเหตุก็ได้สอบปากคำฝ่ายผู้เสียชีวิต แจ้งว่า เป็นการ์ด จากนั้นติดตามตัวมาให้ผู้เสียหายชี้ตัว จนกระทั่งออกหมายจับผู้ต้องหา 4 คน และทั้งหมดก็มอบตัวขอสู้คดี เหลือเพียง นายวีระ หรือ จ๊าบ ฤทธิสนธิ์ อายุ 43 ปี ที่ยังหลบหนี” ผกก.สน.หนองค้างพลู กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุเกิดตอนตี 3 ตี 4 ร้านปิดเที่ยงคืน ทำไมยังมีนักเที่ยวอยู่ พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสั่งให้ปิดตามเวลาแล้ว และร้านก็เปิดไฟสว่างหมดแล้ว ดนตรีที่เล่นก็เลิก แค่อยู่ระหว่างดำเนินการเก็บเงินลูกค้าบางส่วนที่กำลังนั่งคุยอยู่ในร้าน
ส่วนคู่กรณีแจ้งว่า เหตุเกิดขึ้นต่อหน้าตำรวจแล้วไม่ระงับเหตุ และจับกุมคนร้าย นั้น พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวว่า ทางตำรวจชี้แจง ว่า ขณะระงับเหตุยังไม่ทราบว่ามีเหตุแทงกันเกิดขึ้น แต่มีเหตุทะเลาะวิวาทกัน หลังจากคู่กรณีแยกย้ายกันแล้ว จึงทราบว่ามีคนถูกแทงได้รับบาดเจ็บ โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งเมื่อทราบแล้วทาง สน.ก็ออกหมายจับทันที เพื่อดำเนินการจับกุม
ด้าน น.ส.กิติมา เอี่ยมอุไร อายุ 27 ปี เจ้าของร้านสมูทผับ ยอมรับว่า เคยถูกตำรวจ สน.หนองค้างพลู จับในข้อหาจำหน่ายสุราเกินเวลาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่วันเกิดเหตุไม่ได้เปิดร้านเกินเวลาแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า สำหรับร้านดังกล่าวสั่งปิดถาวรห้ามเปิด จนกว่าจะมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย และจากการชี้แจงในเบื้องต้น ยังไม่พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่อง แต่สั่งให้ ผบก.น.9 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รายงานภายใน 3 วัน ถ้ามีความผิดบกพร่อง หรือมีผู้เข้าร้องทุกข์ ผิดถูกก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน ซึ่งตนเป็นนายพลแล้วไม่ลงไปจับร้านอย่างนี้มันเสียเวลา ซึ่งตนได้ส่งเด็กลงไปถ่ายรูปให้เห็นว่า ตี 2 ร้านยังเปิดอยู่คราวหน้าถ้าเปิดอีกก็ย้ายผู้กำกับ โดยเตือนก่อนหนึ่งครั้งทำอีกก็ย้ายเลย ถ้าไม่มีอำนาจย้ายก็ส่งไปช่วยราชการก่อน ซึ่งได้มีการกำชับเป็นหนังสือไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการชี้แจ้งในห้องประชุมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 3 นายที่อยู่ในวันเกิดเหตุมาด้วยแต่ก็เดินทางกลับโดยไม่ให้เข้ามาร่วมชี้แจงแต่อย่างใด
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น.ที่ห้องประชุมอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (อก.บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบก.น.9 พ.ต.อ.สุรนิตย์ พรหมบุตร รอง ผบก.น.9 และ พ.ต.อ.มานะ กลัดเข็มเพชร ผกก.สน.หนองค้างพลู พร้อมด้วย น.ส.กิติมา เอี่ยมอุไร อายุ 27 ปี เจ้าของร้านสมูทผับ การ์ดจำนวน 3 คน และผู้ที่มาเที่ยวที่ร้านดังกล่าวอีก 2 คน เพื่อมาชี้แจงกรณีเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นบริเวณร้านสมูทผับ ถนนเพชรเกษมขาเข้า รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในวันเกิดเหตุ
พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า ร้านเกิดเหตุเป็นร้านอาหารธรรมดา ไม่ได้เป็นผับดังขายอาหาร จำหน่ายสุรา และมีดนตรีมาแสดง ตอนเกิดเหตุร้านก็ปิดบริการแล้ว ขณะเกิดเหตุทำร้ายร่างกาย ตำรวจพยายามระงับเหตุ แต่มันชุลมุน ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ชาย 15-16 คน มีผู้หญิงอีก 4-5 คน ทะเลาะวิวาทกับการ์ด ซึ่งตำรวจพยายามระงับเหตุเต็มที่ รวมทั้งขอกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.หนองแขม มาช่วยปฏิบัติหน้าที่ เพราะมีกำลังตำรวจบางส่วนไปปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ ปจ.แต่ระหว่างเกิดเหตุไม่เห็นว่าใครเป็นคนแทง ประกอบกับที่เกิดเหตุก็มืด อีกทั้งผู้บาดเจ็บก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแทง ซึ่งจับกุมตอนนั้นไม่ได้ ก็เพราะว่ายังไม่รู้ว่าใครก่อเหตุแทงใครเลย
“ผมยืนยันว่า รถตำรวจไม่ได้จอดขวางทางจอดรถเพียงอยู่ท้ายรถผู้บาดเจ็บขณะจะนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หลังจากเกิดเหตุก็ได้สอบปากคำฝ่ายผู้เสียชีวิต แจ้งว่า เป็นการ์ด จากนั้นติดตามตัวมาให้ผู้เสียหายชี้ตัว จนกระทั่งออกหมายจับผู้ต้องหา 4 คน และทั้งหมดก็มอบตัวขอสู้คดี เหลือเพียง นายวีระ หรือ จ๊าบ ฤทธิสนธิ์ อายุ 43 ปี ที่ยังหลบหนี” ผกก.สน.หนองค้างพลู กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุเกิดตอนตี 3 ตี 4 ร้านปิดเที่ยงคืน ทำไมยังมีนักเที่ยวอยู่ พ.ต.อ.มานะ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสั่งให้ปิดตามเวลาแล้ว และร้านก็เปิดไฟสว่างหมดแล้ว ดนตรีที่เล่นก็เลิก แค่อยู่ระหว่างดำเนินการเก็บเงินลูกค้าบางส่วนที่กำลังนั่งคุยอยู่ในร้าน
ส่วนคู่กรณีแจ้งว่า เหตุเกิดขึ้นต่อหน้าตำรวจแล้วไม่ระงับเหตุ และจับกุมคนร้าย นั้น พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวว่า ทางตำรวจชี้แจง ว่า ขณะระงับเหตุยังไม่ทราบว่ามีเหตุแทงกันเกิดขึ้น แต่มีเหตุทะเลาะวิวาทกัน หลังจากคู่กรณีแยกย้ายกันแล้ว จึงทราบว่ามีคนถูกแทงได้รับบาดเจ็บ โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งเมื่อทราบแล้วทาง สน.ก็ออกหมายจับทันที เพื่อดำเนินการจับกุม
ด้าน น.ส.กิติมา เอี่ยมอุไร อายุ 27 ปี เจ้าของร้านสมูทผับ ยอมรับว่า เคยถูกตำรวจ สน.หนองค้างพลู จับในข้อหาจำหน่ายสุราเกินเวลาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่วันเกิดเหตุไม่ได้เปิดร้านเกินเวลาแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า สำหรับร้านดังกล่าวสั่งปิดถาวรห้ามเปิด จนกว่าจะมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย และจากการชี้แจงในเบื้องต้น ยังไม่พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่อง แต่สั่งให้ ผบก.น.9 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รายงานภายใน 3 วัน ถ้ามีความผิดบกพร่อง หรือมีผู้เข้าร้องทุกข์ ผิดถูกก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน ซึ่งตนเป็นนายพลแล้วไม่ลงไปจับร้านอย่างนี้มันเสียเวลา ซึ่งตนได้ส่งเด็กลงไปถ่ายรูปให้เห็นว่า ตี 2 ร้านยังเปิดอยู่คราวหน้าถ้าเปิดอีกก็ย้ายผู้กำกับ โดยเตือนก่อนหนึ่งครั้งทำอีกก็ย้ายเลย ถ้าไม่มีอำนาจย้ายก็ส่งไปช่วยราชการก่อน ซึ่งได้มีการกำชับเป็นหนังสือไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการชี้แจ้งในห้องประชุมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 3 นายที่อยู่ในวันเกิดเหตุมาด้วยแต่ก็เดินทางกลับโดยไม่ให้เข้ามาร่วมชี้แจงแต่อย่างใด
