ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่รับฟ้องคดี “บรรณพจน์” ฟ้อง “นาม ยิ้มแย้ม” และพวก ปฏิบัติหน้าที่มิชอบคดีอายัดทรัพย์ “ทักษิณ” 76,000 ล้านบาท ชี้ เป็นอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ย้ำศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจ
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.3112/2550 ที่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับพวก คณะกรรมการ คตส. ร่วมเป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่จำเลยร่วมกันอายัดทรัพย์จำนวน 76,000 ล้านบาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นแทน และเรียกเก็บภาษี จำนวน 500 ล้านบาทจากโจทก์ ที่ได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบความเสียหายแก่รัฐ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2549 ดังนั้น คดีจึงเป็นอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่รับฟ้อง
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.3112/2550 ที่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับพวก คณะกรรมการ คตส. ร่วมเป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่จำเลยร่วมกันอายัดทรัพย์จำนวน 76,000 ล้านบาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นแทน และเรียกเก็บภาษี จำนวน 500 ล้านบาทจากโจทก์ ที่ได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบความเสียหายแก่รัฐ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2549 ดังนั้น คดีจึงเป็นอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่รับฟ้อง