ฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดง อารมณ์ร้ายไล่ยิงเก๋งกัปตันการบินไทย หวิดเป็นผีเฝ้าถนนมอเตอร์เวย์ เหตุแค่ไม่พอใจเปิดไฟสูงใส่ เพื่อเตือนแสงไฟซีนอลจากรถรบกวนการขับ ก่อนที่คู่กรณีจะขับรถตามและไล่ยิงไม่ต่ำกว่า 7 นัด จนได้รับบาดเจ็บ ด้านกัปตันบินไทยเผยในชีวิตไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นกับใคร เรื่องเฉียดตายครั้งนี้ก็มีแค่เปิดไฟกะพริบใส่เท่านั้น พร้อมฝากมือยิงไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย ที่ก่อเหตุลักษณะนี้
วันนี้ (13 ม.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.ท.เหรียญชัย เหล่าที สวส.สน.ประเวศ รับแจ้งว่า เหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บบนทางพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์) กรุงเทพฯ-ชลบุรี และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยเหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส ผกก.สน.ประเวศ พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน ผกก.สส.บก.น.3 รรท.ผกก.สส.บก.น.4 และ พ.ต.ท.เอนก ไพรศรี รอง ผกก.สส.บกน.4
ภายในห้องพักเลขที่ 407 ชั้น 14 โรงพยาลดังกล่าว พบ ร.ท.พูลวิทย์ เรืองเดช อายุ 53 ปี กัปตันเครื่องบินสายการบินไทย มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดที่บริเวณเหนือสะบักซ้าย นอนพักรักษาตัวหลังแพทย์ผ่าหัวกระสุนออกไปอาการปลอดภัย
ร.ท.พูลวิทย์เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.วันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 525 สีเทา ทะเบียน 7ศ 4235 ลงจากทางด่วนศรีรัช เข้าสู่ถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เนื่องจากมีกำหนดบินไปยังเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในเวลา 00.25 น.วันเดียวกันนี้ เมื่อขับรถไปถึงบริเวณทางแยกต่างระดับทับช้าง ขณะที่วิ่งอยู่ช่องทางจราจรที่ 2 จากซ้ายมือ ก็มีรถโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ไม่ทราบหมวดอักษรและเลขทะเบียน จำได้เพียงเป็นทะเบียนกรุงเทพฯ ขับตามหลังมาในช่วงทางขวาสุด โดยแสงไฟจากหน้ารถคันดังกล่าวเป็นแสงซีนอลที่มีความสว่างมาก สะท้อนกระจกมองหลังส่งผลให้มองถนนไม่ชัด
ร.ท.พูลวิทย์กล่าวอีกว่า เมื่อรถคันดังกล่าวขับแซงหน้าขึ้นไปจึงกะพริบไฟหน้ารถใส่ เพื่อบอกว่าไฟหน้ารถคู่กรณีรบกวนการขับของคนอื่น เมื่อขับรถต่อไปอีกระยะหนึ่งปรากฏว่ารถคู่กรณีมาวิ่งตามอยู่ด้านหลังอีกครั้ง พร้อมกะพริบไฟหน้ารถใส่หลายครั้ง จากนั้นได้ขับแซงซ้ายขึ้นมาประกบคู่ และใช้แสงเลเซอร์สีแดงชี้เข้ามาภายในรถตน ตนจึงหยิบไฟฉายที่พกติดรถส่องกลับไป ทำให้รถคันดังกล่าวจึงชะลอรถลงไปอยู่ด้านหลังอีกครั้ง ขณะนั้นยังไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้น แต่จู่ๆ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นัด ยังสงสัยอยู่ว่ามีเสียงปืนมาจากที่ไหน
“ตอนนั้นเองผมได้ยินเสียงกระจกหลังแตกดังโพละ และรู้สึกเจ็บที่หลัง ทำให้รู้ว่าถูกไล่ยิงอยู่ จึงรีบขับรถหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่คู่กรณีก็ยังขับรถไล่ตามและยิงใส่อีกไม่ต่ำกว่า 7 นัด เมื่อไปถึงทางแยกต่างระดับเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ จึงตัดสินใจหักหัวรถออกไปเลนขวาสุดเพื่อให้คู่กรณีขับตามไป และเป็นเช่นนั้นจริง จึงรีบหักรถกลับเข้าเลนซ้ายสุด เพื่อขึ้นสะพานที่เข้าสนามบิน โดยอาศัยรถตู้ที่วิ่งอยู่ในเลนกลางช่วงบังรถคู่กรณีไว้ พอขึ้นสะพานไปจึงชะลอความเร็วรถลงเพื่อดูคู่กรณี เห็นว่าเขาก็ชะลอรถจอดรออยู่ในช่องทางด่วน เหมือนจะรอไล่ยิงผมอีก จึงรีบขับรถเข้าที่ศูนย์ปฏิบัติการบินในสนามบิน เพื่อขอความช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นกับใคร เรื่องที่ทำให้เฉียดตายครั้งนี้เพียงแค่มีการกะพริบไฟใส่กันเท่านั้น ไม่คิดว่าจะโกรธแค้นถึงกับใช้ปืนไล่ฆ่ากันกลางถนน ขอฝากไปยังมือยิงด้วยว่า ถ้าจะทำแบบนี้ขอให้จอดรถลงมาชกกันตัวต่อตัวดีกว่า ยังเป็นลูกผู้ชายมากกว่า การทำแบบนี้เป็นการกระทำที่ขี้ขลาดมาก” กัปตันการบินไทยกล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เทียนชัยกล่าวว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ทั้งหมด เบื้องต้นตรวจสอบที่ด่านเก็บเงินรอยต่อทางด่วนศรีรัช และมอเตอร์เวย์ แล้ว ไม่พบรถที่ก่อเหตุ คาดว่าจะเข้ามอเตอร์เวย์จากถนนศรีนครินทร์ ก่อนมาพบรถของ ร.ท.พูลวิทย์ และมีการกะพริบไฟใส่กันจนก่อเหตุไล่ยิงดังกล่าว ขณะนี้ให้ชุดสืบสวนไปดูภาพวงจรปิดที่ด่านเก็บเงินลาดกระบังว่าจับภาพรถคนร้ายได้หรือไม่ ส่วนอาวุธปืนนั้นยังไม่ทราบขนาด
พ.ต.ท.เอนกกล่าวว่า เบื้องต้นได้ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้วแต่ยังไม่ได้อะไรมาก เนื่องจากการก่อเหตุดังกล่าว มีระยะทางที่ไกลมาก คงต้องใช้การตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าจะพบปลอกกระสุนปืนที่คนร้ายใช้ เนื่องจากมีการยิงมากถึง 7 นัด สันนิษฐานว่าจะเป็นปืนแบบออโตเมติก นอกจากนั้นยังฝากถึงผู้ใช้ทางอื่นที่ร่วมทางในคืนเกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ ช่วยติดต่อให้ข้อมูลรถฟอร์จูนเนอร์ที่ก่อเหตุด้วย เนื่องจากเวลาดังกล่าวยังมีพาหนะสัญจรอยู่เป็นจำนวนมาก โดยให้ติดต่อไปยังพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ หรือฝ่ายสืบสวน บกน.4 หรือให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนทางใดทางหนึ่ง