“มือปา” รับเลือกบอมบ์อึบ้านนายกฯ แค่ไม่พอใจส่วนตัว

รวบหนุ่มค้าของเก่ามือปาอุจจาระใส่บ้านนายกรัฐมนตรี อ้างไม่พอใจส่วนตัวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่เข้าร้องเรียน ตร.หลายที่ให้ดำเนินคดีพื่อนบ้านแต่กลับนิ่งเฉย เหตุเลือกบ้านนายกฯ เพราะต้องการให้เป็นจุดสนใจ แจ้ง 2 ข้อหาโทษปรับหนึ่งพันจำคุกหนึ่งเดือน เผยศาลาว่าการ กทม.ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ก็โดนปาอึด้วยแต่ปิดข่าวเงียบ


วันนี้ (12 ก.พ.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ชาญ แสงเสียงฟ้า ผกก.ฝอ.นว.สตช. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 180 นาย นำหมายจับศาลแขวงพระนครใต้ เลขที่ 5/2553 ลงวันที่ 12 ก.พ.53 เข้าจับกุม นายวิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ อายุ 43 ปี อาชีพเปิดกิจการค้าของเก่าและวัตถุโบราณ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาปาอุจจาระใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยจับกุมภายในบ้านพักเลขที่ 293/348 ซอยรามอินทรา 119 แขวงและเขตมีนบุรี พร้อมยึดของกลางประกอบด้วยเสื้อผ้า หมวกกันน็อก และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน พคร-920 กทม. ที่ผู้ต้องหาใส่และใช้ขับขี่ในวันก่อเหตุ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายวิวิทวินมาสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ โดยมี พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 พ.ต.อ.วราวุธ ทวีชัยการ รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ และ พ.ต.ท.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล พนักงานสอบสวน (สบ 3) เจ้าของคดีร่วมสอบปากคำ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อหา คือ กระทำผิดตามปอ.มาตรา 289 คือกระทำด้วยประการใดๆให้ของโสโครกเปอะเปื้อนตัวบุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น และ มาตรา 297 กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความละอายและเดือดร้อนรำคาญ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้จึงนำตัวนายวิวิทวินเข้าไปสอบปากคำในห้องทำงานของ พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง โดยผู้ต้องหาขอเวลาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เสร็จสิ้น ก่อนแล้วจะเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อมวลชนได้รับทราบ เจ้าหน้าที่จึงกันสื่อมวลชนออกด้านนอก แล้วทำการสอบปากคำนานประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มของนายวิวิทวิน เพื่อนำไปตรวจสอบดีเอ็นเอแล้วเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่ตรวจสอบได้จากอุจจาระที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุว่าเป็นของคนคนเดียวกัน

จากนั้นนายวิวิทวินเปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ตนเอาอุจจาระปาใส่บ้านนายกฯ นั้นมาจากความไม่พอใจส่วนตัวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเข้าร้องเรียนต่อตำรวจ สน.ลาดพร้าว ให้ดำเนินคดีข้อหาพยายามฆ่ากับเพื่อนบ้านที่ชอบมั่วสุมสูบบุหรี่ ทำให้ควันบุหรี่ลอยมาถึงบ้านตน จนทำให้ลูกสาวคนโตที่อาการป่วยเกี่ยวกับระบบหายใจต้องล้มป่วยบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ควันบุหรี่ยังรบกวนลูกคนเล็กที่อายุแค่ 2 ขวบอีกด้วย แต่ทางตำรวจกลับนิ่งเฉยไม่ยอมดำเนินการอะไรให้เลย

“ผมเคยไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ อีกหลายครั้ง ทั้ง บชน.และ กทม. หากไม่เชื่อก็ให้ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ศาลาว่าการ กทม.ก็ได้ เพราะ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ก็เคยถูกผมทำแบบนี้มาแล้ว แต่มีการปิดข่าวกันเพราะกลัวว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์องค์กร และขอยืนยันว่าไม่ได้มาจากเรื่องการเมือง และผมก็ไม่ได้อยู่สีไหนทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองหรือสีแดง” นายวิวิทวินกล่าว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายวิวิทวินไปส่งฟ้องที่ศาลแขวงพระนครใต้ทันที โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีลหุโทษจึงมีเวลาในการควบคุมตัวผู้ต้องหาเพียงแค่ 24 ชม. ซึ่งหากช้าเกรงจะไม่ทันการณ์

ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ที่ลงมือก่อเหตุเพียงคนเดียว โดยสาเหตุมาจากความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้ครอบครัวของผู้ต้องหาจนนำไปสู่การร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ แต่ไม่มีความคืบหน้า จึงตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว โดยเลือกเป้าหมายเป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เพราะเข้าใจว่า จะทำให้เป็นจุดสนใจ ทั้งนี้จากการตรวจสอบสภาพจิตของผู้ต้องหานั้น ไม่พบว่ามีอาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด

พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวด้วยว่า ในวันนี้จะนำตัวผู้ต้องหาส่งให้พนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป พร้อมทั้งจะยื่นคำร้องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสถานที่ต่างๆที่เคยไปก่อเหตุไว้ สักช่วงระยะหนึ่ง จนกว่าจะแน่ใจว่า ผู้ต้องหาจะไม่กลับมาก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก ส่วนคดีผู้ต้องหาได้ร้องเรียนไว้ ก็จะประสานกับโรงพักท้องที่เพื่อให้ดำเนินการตามที่เห็นควร

ด้าน พ.ต.อ.วราวุธ กล่าวถึงแนวทางในการสืบสวนจนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องหาว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมภาพจากกล้องวงจรปิดจำนวนหลายสิบจุด ที่รวบรวมได้จากจุดต่างๆ รอบๆบ้านพักของนายกรักฐมนตรี มาตรวจสอบจนพบว่า ผู้ต้องหาใช้ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน พคร-920 กทม. เป็นยานพาหนะ จากนั้นจึงนำภาพที่ได้ พร้อมพยานหลักฐานอื่นยื่นขออนุมัติออกหมายจับจากศาลแขวงพระนครใต้ และติดตามจับกุมผู้ต้องหาจนได้ดังกล่าว