จำคุก 2 สายตรวจ สน.ลาดพร้าว คนละ 8 ปี อ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบฯ รีดเงินอาบังอินเดีย 1 ล้าน ยัดข้อหาปลอมหนังสือเดินทาง-บัตรเครดิต เพื่อนร่วมแก๊งโดน 5 ปี 4 เดือน ฐานสนับสนุน
วันนี้ (15 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.ต.วิฑูรย์ มูลลา หรือจิรเมธาวี สุขเกษม อายุ 35 ปี ,ส.ต.อ.สายันห์ โยวัง หรือศุภณัฏฐ์ ชูชัยปัญญาพงศ์ อายุ 40 ปี และ นายกิตติ หรือตุ๋ย เกตุนุติ อายุ 52 ปี อาชีพค้าขาย ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน หน่วงเหนี่ยวกักขัง กรรโชกทรัพย์ และอื่นๆ
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.51 บรรยายความผิดจำเลยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 1-3 ก.ย. 45 จำเลยที่ 1-2 ซึ่งมีตำแหน่ง ผบ.หมู่ป้องกันและปราบปรามและเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์ สน.ลาดพร้าว และจำเลยที่ 3 กับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนี อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้กล่าวหาว่า นายประดีป กูมาอาโลรา สัญชาติอินเดีย และ น.ส.ลำยอง อินทฤทธิ์ แฟนสาว ผู้เสียหายว่า ปลอมแปลงหนังสือเดินทาง และใช้บัตรเครดิตปลอม และถูกออกหมายจับไว้ที่ สน.บางรัก หากยอมมอบเงินให้พวกจำเลย 1 ล้านบาท ก็จะละเว้นไม่จับกุมดำเนินคดี จนผู้เสียหายเกิดความกลัวมอบเงินสดจำนวน 62,000 บาท เงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินรูปี รวมแล้วเป็นเงิน 69,000 บาท ระหว่างนี้พวกจำเลยได้พานายประดีป ผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ตามสถานที่ต่างๆ และให้ น.ส.ลำยอง หาเงินที่เหลือมาให้ กระทั่งเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจับกุมตัวพวกจำเลยได้ขณะเตรียมรับเงิน จำเลยให้การปฏิเสธ อ้างว่าเป็นการติดตามทวงหนี้สินจากนายประดีปให้นายทุนที่ร่วมลงทุนค้าขายผ้าด้วยกัน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าโจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยาน เบิกความสอดคล้องต้องกันเป็นลำดับขั้นตอน มีเหตุผลเชื่อมโยงกัน อีกทั้งผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1-2 มีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะใช้อำนาจความเป็นเจ้าพนักงานจับกุมผู้เสียหายให้มอบเงินแก่จำเลย ส่วนจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำผิด พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 อันเป็นบทหนักสุดจำคุกคนละ 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86 จำคุก 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 69,000 บาท คืนแก่ผู้เสียหายด้วย