ศาลสั่งส่งผู้ร้ายข้ามแดน “เจมส์ เฮนรี” หนุ่มใหญ่เมืองผู้ดีกลับดำเนินนคดียาเสพติด-ฟอกเงินที่ออสเตรเลีย เจ้าตัวออกอาการหงุดหงิด ผลักช่างภาพรอทำข่าวปากเจ่อ ด้านทนายเตรียมอุทธรณ์ภายใน 15 วัน ยกประเด็นออสเตรเลียอิสระจากอังกฤษแล้ว ไม่สืบสิทธิสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
วันนี้ (27 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 810 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งส่งผู้ร้ายข้ามแดน คดีดำหมายเลขที่ อผ. 9/2551 ที่พนักงานอัยการสำนักงานต่างประเทศ ยื่นคำร้องขอให้ส่งตัว นายเจมส์ เฮนรี คินช์ (James Henry Kinch) หรือซีมัส คินช์ (Seamus Kinch) หรือเจมส์ (Jame Mccarthy) อายุ 53 ปี สัญชาติอังกฤษ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของประเทศออสเตรเลีย ที่ถูกหมายจับหลายข้อหาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และทำผิดกฎหมายการฟอกเงิน รวมทั้งขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
โดยคำร้องอ้างว่า นายเจมส์ เฮนรี จำเลยได้กระทำผิดอาญาที่มีโทษเทียบตามกฎหมายไทยจำคุกไม่น้อยกว่า 1 ปี และไม่เป็นความผิดทางการเมือง หรือมีลักษณะในทางการเมือง อีกทั้งคดียังไม่ขาดอายุความ และเนื่องจากเป็นคดีเร่งด่วนตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 มาตรา 10 และสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-อังกฤษ ค.ศ.1911 จึงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่ประเทศออสเตรเลียต่อไป
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ทางการออสเตรเลียอ้างว่าประเทศไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับอังกฤษ ค.ศ.1911 และ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 ซึ่งออสเตรเลียเป็นประเทศเครือจักรภพเคยถูกดูแลโดยประเทศอังกฤษ จึงมีการสืบสิทธิสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่มีภาระผูกพันประเทศไทยด้วย อีกทั้งไม่ใช่คดีการเมือง และซึ่งข้อกล่าวหานั้นมีโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปี คดีจึงมีประเด็นวินิจฉัยว่า ศาลไทยมีอำนาจขัง และส่งตัวจำเลยเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ซึ่งความผิดตามคำร้องที่ขอส่งตัว เป็นความผิดอาญา และศาลออสเตรเลีย ออกหมายจับไว้ เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏคดีน่าจะได้มีการสืบสวนสอบสวนไว้แล้ว ศาลจึงมีอำนาจที่จะขังจำเลยไว้เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้
ส่วนข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงตามข้อหานั้นในประเทศออสเตรเลียหรือไม่ เป็นอำนาจวินิจฉัยคดีของศาลประเทศออสเตรเลีย ขณะที่การส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ทางออสเตรเลียยึดหลักปฏิบัติกับไทยในลักษณะต่างตอบแทน ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งจำเลยเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอ โดยให้ขังจำเลยไว้เพื่อรอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป และหากภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ยังไม่ดำเนินการส่งตัว ให้ปล่อยตัวจำเลย
อย่างไรก็ดี ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว นายเจมส์ เฮนรี ถึงกับมีอาการหงุดหงิด โดยเมื่อเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีแล้วได้ผลักช่างภาพสำนักข่าวต่างประเทศ และช่างภาพหนังสือพิมพ์ของไทยที่รอถ่ายภาพทำข่าวจนบางคนได้รับบาดเจ็บปากเจ่อ
ด้าน นายปรัชญา วิจิตต์โภคิน ทนายความของนายเจมส์ เฮนรี กล่าวว่า จากนี้เตรียมยื่นอุทธรณ์ ภายใน 15 วัน โดยยกประเด็นว่าประเทศออสเตรเลียเป็นอิสระจากอังกฤษแล้วจึงไม่อาจนำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-อังกฤษ ปี ค.ศ.1911 มาใช้ได้
ขณะที่ นายปรัญชา ทนายความกล่าวถึงข้อหาที่นายเจมส์ เฮนรี ถูกออกหมายจับว่า ความผิดที่ถูกกล่าวหามีประมาณ 17 ข้อหา ซึ่งอ้างว่ากระทำผิดนำเข้าสารซูโดรอีเฟรดีน สารตั้งต้นการผลิตยาเสพติด และความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน โดยนายเจมส์เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ ค.ศ.2001 และถูกจับกุมเมื่อวันที่ 31 พ.ค.51 ที่ผ่านมา
ด้าน นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวถึงสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-ออสเตรเลียว่า เนื่องจากออสเตรเลียเคยอยู่ในความดูแลของอังกฤษมาก่อน ดังนั้น เมื่อการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนจึงอ้างการสืบสิทธิสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามที่อังกฤษ ทำไว้กับไทยมาบังคับใช้ ซึ่งถือเป็นหลักการที่สากลให้การยอมรับ แม้ว่าประเทศที่เคยอยู่ในความดูแลได้รับความอิสระแล้วก็ตาม ประกอบกับถ้าประเทศนั้นยังไม่ลงนามทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยตรง การสืบสิทธินั้นสามารถดำเนินการได้ เช่นเดียวกับการส่งผู้ร้ายข้ามเดนระหว่างไทย-มาเลเซีย หรือไทย-แคนาดา ก็มีการสืบสิทธิสนธิสัญญาเช่นกัน ดังนั้น หากฝ่ายจำเลยจะยื่นอุทธรณ์ประเด็นดังกล่าวคิดว่าไม่เป็นปัญหายุ่งยาก