ศูนย์สืบสวน บช.น.บุกทลายโรงงานรับชุบโครเมียม และดัดแปลงอาวุธปืน ได้ของกลางเพียบ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาแต่ละแหล่งของปืน ทั้งที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน แต่จับได้เพียงลูกจ้าง 3 คนเท่านั้น ส่วนเจ้าของหลบหนีไปได้ ตำรวจเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีแล้ว
วันนี้ (21 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.พันธุ์เทพ พรหมจารี ผกก.สส.บช.น. พ.ต.ท.สุคนธ์ ศรีอรุณ รอง ผกก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ธนกฤต กนิษฐกุล รอง ผกก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์สืบสวน บช.น.นำหมายค้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ 1500/2552 ลงวันที่ 21 ต.ค.2552 เข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 9/35 หมู่ 5 แขวงบางไผ่ เขตบางแค หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเปิดเป็นโรงงานลักลอบดัดแปลงอาวุธปืนแบบผิดกฎหมาย
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวปลูกติดกัน 2 หลัง บนเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางเมตร อยู่ในรั้วรอบขอบชิด เจ้าหน้าที่พบ นายเอกชัย พรหมฤทธิ์ อายุ 28 ปี ชาว จ.อุตรดิตถ์ นายเลื่อนศักดิ์ โพธิ์ศรี อายุ 23 ปี ชาว จ.มหาสารคาม และ นายสุพัฒน์ สุขสุโกมินทร์ อายุ 27 ปี ชาว กทม.กำลังช่วยกันถอดประกอบอาวุธปืนขนาดต่างๆ เพื่อรมดำ ชุบโครเมียม จึงแสดงตัวเข้าจับกุมตัวเอาไว้ พร้อมของกลาง อาวุธปืนชนิดต่างๆ ซึ่งถูกถอดแยกชิ้นส่วน จำนวน 12 กระบอก ประกอบด้วย อาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนขนาด 11 ม.ม. จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. จำนวน 4 กระบอก อาวุธปืนขนาด .32 จำนวน 1 กระบอก และ อาวุธขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์รมดำ ชุปโครเมียม, แท่นปั๊มตรายี่ห้อ สมิทแอนด์เวสสัน และยี่ห้อโคลท์ จำนวน 3 แท่น เครื่องตอกหมายเลขทะเบียนปืนจำนวน 1 เครื่อง ปั๊มลม 1 ตัว และอุปกรณ์ที่ใช้ในการดัดแปลงอาวุธปืนอีกจำนวนมาก
จากการสอบสวน นายเอกชัย ให้การรับสารภาพว่า บ้านหลังนี้มี นายแอ๊ด เหมือนทอง อายุ 40 ปี ชาว จ.นครราชสีมา มาเช่าไว้เพื่อทำธุรกิจรับรมดำ ชุบโครเมียม และดัดแปลงอาวุธปืน มาได้ประมาณกว่า 1 ปีแล้ว โดยจะมีลูกค้าจากทั่วประเทศ ส่งปืนใส่กล่องพัสดุไปรษณีย์ส่งมาให้ทำตามออเดอร์ ส่วนพวกตนทั้ง 3 คนเป็นเพียงลูกจ้างของนายแอ๊ดเท่านั้น
นายเอกชัย ให้การต่อว่า แต่ละวันพวกตนรับงานได้มากที่สุด 10 กระบอก โดยจะเริ่มงาน 10 โมงเช้า ซึ่งแต่ละคนจะแบ่งงานกันทำ ทั้งถอดประกอบ รมดำ ชุปโครเมี่ยม เสร็จงานก็แยกย้ายกันกลับบ้านที่เช่าอยู่ใกล้ๆ กันกับโรงงาน โดยแต่ละวันจะเลิกงานไม่ตรงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนปืนที่ทำ ส่วนค่าจ้างก็จะได้กระบอกละ 400 บาท มาแบ่งกัน 3 คน
ด้าน พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากพลเมืองดีที่สงสัยว่าบ้านหลังดังกล่าวอาจจะลักลอบเปิดเป็นโรงงานผลิตกระสุนปืน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้น แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่โรงงานผลิตกระสุน แต่เป็นโรงงานลักลอบดัดแปลงอาวุธปืน ทั้งรมดำ ชุปโครเมียม ตอกทะเบียน ฯลฯ
พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนายทะเบียน และข้อหาดำเนินกิจการโดยไม่มีใบอนุญาตให้ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน พร้อมทั้งจะออกหมายจับนายแอ๊ด ก่อนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบอาวุธปืนของลูกค้าที่ส่งมาให้โรงงานดังกล่าวทำในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบชื่อลูกค้าหลายรายด้วยกัน โดยเฉพาะนายเกษม คำแหง อยู่บ้านเลขที่ 125 ต.มรุพงษ์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ที่เป็นเจ้าของปืนถึง 3 กระบอก นอกจากนี้ อาวุธปืนของกลางที่ยึดได้นั้น มีทั้งปืนที่มีทะเบียน ไม่มีทะเบียน และปืนที่ถูกขูดลบหมายเลขทะเบียนไปแล้วด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสืบหาที่มาของอาวุธปืนดังกล่าว เพื่อติดตามจับกุมเจ้าของมาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (21 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.พันธุ์เทพ พรหมจารี ผกก.สส.บช.น. พ.ต.ท.สุคนธ์ ศรีอรุณ รอง ผกก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ธนกฤต กนิษฐกุล รอง ผกก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์สืบสวน บช.น.นำหมายค้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ 1500/2552 ลงวันที่ 21 ต.ค.2552 เข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 9/35 หมู่ 5 แขวงบางไผ่ เขตบางแค หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเปิดเป็นโรงงานลักลอบดัดแปลงอาวุธปืนแบบผิดกฎหมาย
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวปลูกติดกัน 2 หลัง บนเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางเมตร อยู่ในรั้วรอบขอบชิด เจ้าหน้าที่พบ นายเอกชัย พรหมฤทธิ์ อายุ 28 ปี ชาว จ.อุตรดิตถ์ นายเลื่อนศักดิ์ โพธิ์ศรี อายุ 23 ปี ชาว จ.มหาสารคาม และ นายสุพัฒน์ สุขสุโกมินทร์ อายุ 27 ปี ชาว กทม.กำลังช่วยกันถอดประกอบอาวุธปืนขนาดต่างๆ เพื่อรมดำ ชุบโครเมียม จึงแสดงตัวเข้าจับกุมตัวเอาไว้ พร้อมของกลาง อาวุธปืนชนิดต่างๆ ซึ่งถูกถอดแยกชิ้นส่วน จำนวน 12 กระบอก ประกอบด้วย อาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนขนาด 11 ม.ม. จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. จำนวน 4 กระบอก อาวุธปืนขนาด .32 จำนวน 1 กระบอก และ อาวุธขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์รมดำ ชุปโครเมียม, แท่นปั๊มตรายี่ห้อ สมิทแอนด์เวสสัน และยี่ห้อโคลท์ จำนวน 3 แท่น เครื่องตอกหมายเลขทะเบียนปืนจำนวน 1 เครื่อง ปั๊มลม 1 ตัว และอุปกรณ์ที่ใช้ในการดัดแปลงอาวุธปืนอีกจำนวนมาก
จากการสอบสวน นายเอกชัย ให้การรับสารภาพว่า บ้านหลังนี้มี นายแอ๊ด เหมือนทอง อายุ 40 ปี ชาว จ.นครราชสีมา มาเช่าไว้เพื่อทำธุรกิจรับรมดำ ชุบโครเมียม และดัดแปลงอาวุธปืน มาได้ประมาณกว่า 1 ปีแล้ว โดยจะมีลูกค้าจากทั่วประเทศ ส่งปืนใส่กล่องพัสดุไปรษณีย์ส่งมาให้ทำตามออเดอร์ ส่วนพวกตนทั้ง 3 คนเป็นเพียงลูกจ้างของนายแอ๊ดเท่านั้น
นายเอกชัย ให้การต่อว่า แต่ละวันพวกตนรับงานได้มากที่สุด 10 กระบอก โดยจะเริ่มงาน 10 โมงเช้า ซึ่งแต่ละคนจะแบ่งงานกันทำ ทั้งถอดประกอบ รมดำ ชุปโครเมี่ยม เสร็จงานก็แยกย้ายกันกลับบ้านที่เช่าอยู่ใกล้ๆ กันกับโรงงาน โดยแต่ละวันจะเลิกงานไม่ตรงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนปืนที่ทำ ส่วนค่าจ้างก็จะได้กระบอกละ 400 บาท มาแบ่งกัน 3 คน
ด้าน พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากพลเมืองดีที่สงสัยว่าบ้านหลังดังกล่าวอาจจะลักลอบเปิดเป็นโรงงานผลิตกระสุนปืน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้น แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่โรงงานผลิตกระสุน แต่เป็นโรงงานลักลอบดัดแปลงอาวุธปืน ทั้งรมดำ ชุปโครเมียม ตอกทะเบียน ฯลฯ
พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนายทะเบียน และข้อหาดำเนินกิจการโดยไม่มีใบอนุญาตให้ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน พร้อมทั้งจะออกหมายจับนายแอ๊ด ก่อนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบอาวุธปืนของลูกค้าที่ส่งมาให้โรงงานดังกล่าวทำในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบชื่อลูกค้าหลายรายด้วยกัน โดยเฉพาะนายเกษม คำแหง อยู่บ้านเลขที่ 125 ต.มรุพงษ์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ที่เป็นเจ้าของปืนถึง 3 กระบอก นอกจากนี้ อาวุธปืนของกลางที่ยึดได้นั้น มีทั้งปืนที่มีทะเบียน ไม่มีทะเบียน และปืนที่ถูกขูดลบหมายเลขทะเบียนไปแล้วด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสืบหาที่มาของอาวุธปืนดังกล่าว เพื่อติดตามจับกุมเจ้าของมาดำเนินคดีต่อไป