เจ้ากรมคุกคนใหม่เน้น “ปราบยาเสพติด”

“ชาติชาย สุทธิกลม” อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่ เดินทางเข้ารับตำแหน่งใหม่แทนที่ “นัทธี จิตสว่าง” ที่ถูกย้ายไปนั่งเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมวางนโยบายเข้มปราบยาเสพติดในคุก ด้าน “นัทธี” โบกมือลาไม่ขอย้อนกลับนั่งเป็นเจ้ากรมอีกเป็นครั้งที่ 3

วันนี้ (21 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.นายชาติชาย สุทธิกลม รักษาการอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้สักการะศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์สิ่งศักดิ์ของกรมราชทัณฑ์ ที่ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ก่อนเดินทางมาที่กรมราชทัณฑ์ เพื่อมารับตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แทน นายนัทธี จิตสว่าง ที่ถูกย้ายเข้ากรุไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากมีปัญหาหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องจำต่างๆ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้าไปในคุกอย่างต่อเนื่อง

นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เรื่องปัญหายาเสพติดในเรือนจำ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญทำให้ตนต้องเร่ร่อนจากบ้านเกิด ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาช่วยกรมราชทัณฑ์จัดการกับเรื่องนี้ตนจึงต้องขอฝากตัวและพึ่งพาประสบการณ์ความรู้ของเพื่อนข้าราชการในราชทัณฑ์ เนื่องจากเรือนจำไม่มีภารกิจด้านปราบปรามยาเสพติดเพียงเดียว แต่ยังมีภารกิจในด้านการควบคุมดูแลผู้ต้องขังด้วยสำหรับปัญหายาเสพติด ตนหวังที่จะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งการติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือในเรือนจำจะทำสำเร็จภายในปีนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนจึงถือว่าอยู่ในวิสัยทัศน์ที่ทำได้

“ผมจะนำประสบการณ์ในงานปราบปรามยาเสพติดมาใช้ในการจัดทำเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรวมถึงบุคคลภายนอกที่มาติดต่อขอเยี่ยมเพื่อนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมต้องสงสัย และปิดช่องทางไม่ให้มีการลักลอบบงการซื้อขายยาเสพติดส่วนผู้ต้องขังที่ยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะยังคงแยกคุมขังไว้ในแดนความมั่นคงสูง” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บรรยากาศบริเวณหน้าบันไดทางขึ้น-ลง หน้ากรมราชทัณฑ์ได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการประจำได้ยืนเรียงแถวกันพร้อมช่อดอกกุหลาบแดง ยื่นให้กับ นายนัทธี จิตสว่าง ขณะเดินลงไปขึ้นรถประจำตำแหน่ง เพื่อเดินไปรับตำแหน่งผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรมท่ามกลางความดีใจและเสียใจของข้าราชการบางคน

นายนัทธี จิตสว่าง ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การอำลาตำแหน่งครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 เชื่อว่า คงไม่มีครั้งที่ 3 อีกแล้ว เพราะตนเหลืออายุราชการอีกเพียง 2 ปี การโยกย้ายครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นความประสงค์ของตนเองที่จำเป็นต้องไป เพราะหากยังอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะประสบกับความเสียหายมากกว่านี้ และกรมก็จะเสียหายไปด้วย จึงควรเปิดให้บุคคลอื่นได้เข้ามาบริหารงานต่อไป